Google+ ความสุขที่เกิดจากความเรียบง่าย : ธนพ เอี่ยมอมรพันธ์ นักธุรกิจค้าเพชรและนาฬิกาแบรนด์หรู ~ Education For Life

ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

On 03:53 by EForL in    No comments




เมื่อก่อนใคร ๆ ก็มองว่าทายาทเจ้าของร้านเพชรชื่อดังอย่างผมเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้ และไม่จริงจังกับใคร ในเวลานั้นอย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่คิดว่าอีกไม่กี่ปีต่อมามุมมองและความรู้สึกเรื่อง ความสุขของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ผมเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่น จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่ดีจากต่างประเทศ เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมขออนุญาตคุณพ่อว่าจะยังไม่รับช่วงต่อธุรกิจร้านเพชรและธุรกิจอื่นๆ ของที่บ้าน เพราะอยากหางานทำด้วยตัวเองก่อน

ไม่นานผมได้ทำงานที่บริษัทจัดการกองทุนของธนาคารแห่งหนึ่ง ผมทุ่มเททำงานอย่างหนักจนเป็นพนักงานที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของบริษัท แม้จะออกจากบริษัทมาแล้ว เจ้านายเก่าถึงกับเอ่ยปากว่าไม่สามารถหาใครมาแทนที่ผม แล้วมีผลงานอย่างที่ผมเคยทำเอาไว้ได้อีกเลย ส่วนเงินเดือนที่ได้ก็เป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ

ในขณะที่อายุแค่ยี่สิบต้นๆ ผมจึงรู้สึกภาคภูมิใจและทะนงตนมาก หลังเลิกงานผมใช้ชีวิตสนุกอย่างเต็มที่ ทั้งปาร์ตี้สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ออกไปแข่งรถหรือมอเตอร์ไซค์คันโปรด รวมถึงออกงานสังคมแทบทุกงาน คติประจำใจของผมในขณะนั้นคือ ใช้ชีวิตให้เต็มที่เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้คิดถึงอนาคตเลย

ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อได้แต่งงานกับคุณฝน (คุณณวิภา มัสยวาณิช เอี่ยม-อมรพันธ์)

เธอเป็นผู้หญิงเก่ง มาจากครอบครัวที่ดี แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเกินจำเป็น แต่ก็ไม่ถึงกับกระเบียดกระเสียร ผมจึงเริ่มฉุกคิด และได้เรียนรู้จากภรรยา หลังจากที่เราใช้ชีวิตร่วมกัน
จุดเปลี่ยนที่สองคือการบวช
ผมมีโอกาสได้บวชที่วัดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี (ใกล้ชายแดนพม่า) อยู่อย่างสมถะ นอนปักกลด ผูกมุ้ง ได้พบกับน้ำจิตน้ำใจของชาวบ้านที่นั่น ทำให้ผมเริ่มพบกับความสุขทางธรรมอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ส่วนจุดเปลี่ยนสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่คือ เมื่อลูกสาววัยสองขวบป่วยเป็นโรคปอดอย่างรุนแรง หลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดเพียงสามวัน คุณหมอบอกว่าแบคทีเรียเข้าไปทำลายปอดของลูกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสรอดชีวิตเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อาการที่ทรุดลงเรื่อยๆ ทำให้ภรรยารวมถึงญาติผู้ใหญ่หลายคนเริ่มถอดใจ แต่ผมกลับรู้สึกว่าจะยอมแพ้ไม่ได้ และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก! ผมติดต่อเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ต่างประเทศ จนมีโอกาสได้ปรึกษากับผู้บริหารขององค์การอนามัยโลก (WHO) ต่อมา อาจารย์ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ และทีมแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีทราบเรื่อง จึงรับปากว่าจะช่วยดูแลลูกให้ ลูกถูกนำตัวเข้าห้องไอซียูทันทีที่ไปถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี หมอรีบต่อเครื่องช่วยหายใจแบบพิเศษซึ่งมีเพียงไม่กี่เครื่องในประเทศไทย เอาไว้ใช้สำหรับคนไข้ที่ไม่สามารถควบคุมลมหายใจของตัวเองได้แล้วและอยู่ในขั้นโคม่า หมอฉีดยาให้ลูกสลบเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม เพราะหากเขารู้สึกตัวจะหายใจแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ปอดขยายและฉีกขาดจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้

เวลานั้นทุกวันของผมคือการเฝ้าดูอาการของลูก ดูแลจิตใจภรรยา และที่สำคัญ ผมบอกตัวเองว่าต้องตั้งสติไว้ให้ได้ ลูกผมอยู่โรงพยาบาลเกือบสี่เดือน ต้องเรียกว่าปาฏิหาริย์ เพราะเขาหาย และกลับมาเป็นเด็กที่แข็งแรงอีกครั้ง ผมได้แต่ขอบคุณคุณหมอซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ทุกวันเกิดของลูก ผมจะพาเขาไปบริจาคเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกปี

วันนี้ผมกล้าพูดอย่างเต็มปากเลยว่า ความสุขของผมไม่ใช่การไปปาร์ตี้ท่ามกลางแสงสี ใช้เงินมือเติบ หรือแม้แต่ใช้ชีวิตบนความเสี่ยงอย่างการแข่งรถหรือมอเตอร์ไซค์แต่อย่างใด


ความสุขของผมทุกวันนี้คือ การได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่หลงใหลในสิ่งที่ปรุงแต่ง ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังมากกว่าที่เคย และที่สำคัญที่สุด ผมมีเวลาได้อยู่กับครอบครัวที่ผมรักสุดดวงใจอย่างเต็มที่

0 ความคิดเห็น: