Google+ Education For Life

ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561

บัณฑิตในกาลก่อนกล่าวไว้ว่า
มิตรย่อมแหนงหน่าย
หรือเอือมระอากันด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑ การคลุกคลีกันเกินไป
๒ การไม่ไปมาหากัน
๓ การขอในเวลาไม่สมควร
เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรไปหากันพร่ำเพรื่อนัก  ไม่ควรเหินห่างไปให้เนิ่นนาน 
และควรขอในสิ่งที่ควรขอตามเหตุที่สมควร  ด้วยอาการอย่างนี้มิตรทั้งหลายจึงจะไม่แหนงหน่ายกัน



วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เริ่มต้นจากการเปลี่ยนทัศนคติของเขาก่อน โดยทำให้เจ้าตัวเกิดแรงบันดาลใจว่าอยากจะเลิก
วิธีการคือ
1. ทำให้เขาเห็นโทษของสุราทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ในชาตินี้ก็อย่างเช่น สุราทำให้เสียสุขภาพ ทำให้เสียทรัพย์ แล้วก็บั่นทอนเครดิตหน้าที่การงานต่างๆ อย่างไร
ส่วนในชาติหน้าก็คือลองเอาแอนิเมชั่นมหานรกขุมห้า ถ้าไม่ทราบจะหาที่ไหนให้ถามหลังไมค์มาได้เลย หรือไปเปิดในยูทูปก็ได้ แล้วส่งให้เขาดูแบบเนี่ยนๆ 
2. จัดสภาพสิ่งแวดล้อมใหม่โดยยึดหลักว่าสิ่งใดทำให้นึกถึงสุรา เช่น ขวดเหล้าหรูๆ ที่วางอยู่ในตู้โชว์ ภาพสุรา ภาพเพื่อนฝูงที่ชอบดื่มสุรา ก็นำออก
3. ประการสุดท้าย น่าจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับใครหลายคนคือกลุ่มเพื่อนฝูงนักเสพของเขา การที่จะบอกให้เขาห่างออกจากเพื่อนกลุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ก็มีวิธี เช่น พาไปเขาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น พาไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขา(ในกรณีที่ได้อยู่ด้วยกัน) 
พาไปหาพระ
เมื่อทำให้ห่างออกมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ทำให้นึกถึงเหล้าเลย ก็จะส่งเสริมให้สามารถเลิกได้ง่ายขึ้น พอปรับความเคยชินไปสักเดือนสองเดือนเท่านั้นแหละ ก็จะสามารถทำได้สำเร็จ


วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คาถาที่จะกล่าวนี้เป็นคาถาที่ท้าวเวสวัณมหาราช (เทพที่ปกครองยักษ์ทั้งสี่เหล่า)
กล่าวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่พวกยักษ์ทั้งหลายลงมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่เขาคิชฌกูฏ
ในครั้งนั้น ท้าวเวสวัณมหาราช ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ยักษ์บางพวกมิได้เลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มี ยักษ์บางพวกที่เลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มี เพราะเหตุนี้ ยังมีสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าบางพวกชอบเสพเสนาสนะอันเป็นราวไพร ในป่า มีเสียงน้อย ซึ่งที่เหล่านี้ยังมีพวกยักษ์ปกครองอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดให้พระสาวกทรงเรียน
อาฏานาฏิยรักษ์ เพื่อให้ยักษ์พวกที่ไม่เลื่อมใสในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้เลื่อมใส เพื่อคุ้มครอง เพื่อรักษา เพื่อไม่เบียดเบียน เพื่ออยู่สำราญของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า ซึ่งคาถาที่ว่านี้ก็คือ อาฏานาฏิยคปริตร

ก่อนจะสวดก็ให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วค่อยสวด


วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต
สิขิส สะปิ นะมัตถุ สัพพะภู ตานุกัมปิโน
เวสสะภุสสะ นะมัตถุ  นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน
นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระ เสนัปปะมัททิโน
โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พราหมะณัสสะ 
วุสีมะโต กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ
สัพพะธิ อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักยะปุตตัสสะ
สิรีมะโต โย อิมัง  ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง
เย จาปิ นิพพุตาโลเก ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง เต ชะนา อะปิสุณา
มะหันตา วีตะ สาระทา หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง

วิชชาจะระณะสัมปันนัง พุทธัง วันทามะ โคตมันติ ฯ



วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คำทำนายซินแสจีนท่านหนึ่งกล่าวว่า (ขอสงวนนาม)

ดวงนี้ ไม่มีใครทำอันตรายท่านได้..

พระธัมมชโย เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สัญลักษณ์ประจำตัวท่านคือพระอาทิตย์

ผู้เก่งกล้า ชาญฉลาด มีคุณธรรมและเที่ยงตรง เก่งทางศิลปะหลายแขนงที่ไม่มีผู้เปรียบเทียบได้

มีโครงงาน โครงการ ขยายงานตลอดชีวิต (ถ้าเทียบทางโลกคือ งานเลี้ยงไม่มีวันเลิกลา )

ปีนี้ 2559 เป็นปีที่ดาวใหญ่(คือดาวปีกุน)คลุมตัวท่านมาแล้ว 5 ปีนี้.ปีนี้เป็นปีสุดท้าย ดาวกุนเป็นธาตุน้ำ มาดับไฟ(คือตัวท่าน) จึงเกิดการใส่ร้ายสาดโคลนมายังท่านซึ่งเกิดมา4 ปีแล้ว ปีนี้เป็นปีสุดท้าย

ดาวกุน เป็นดาวธาตุน้ำก็จริง. แต่เหตุการณ์จะกลับตาลปัด เพราะดาวกุนพอมาเข้าใกล้ดาวพระอาทิตย์ของท่าน เกิดชอบพอดาวพระอาทิตย์กลายเป็น ดาวอุปถัมภ์ท่านทันที
(เหตุการณ์ที่ท่านถูกโจมตีนี้ ดูเหมือนจะแย่ ที่แท้สุดท้ายให้ผลดีมากๆ)

ประกอบกับปีนี้ตั้งแต่ 4 กุมภา 2559 ดาวจรเป็นปีวอก. ข้างบนคือธาตุไฟพระอาทิตย์ ข้างล่างคือธาตุทอง. มีผลกับตัวท่านคือธาตุไฟจะทำให้ปีนี้มีผู้ศรัทธาในตัวท่านมากเป็นประวัติการณ์. ชื่อเสียงจะมีผู้ประชาสัมพันธ์ คุณงามความดีของท่านให้ขจรกระจายไปทั่วโลก

ศัตรูจะแพ้ภัยตัวเอง
พอพ้นปีนี้ เข้าปีหน้า พ.ศ.2560-2564
เป็นปีที่มีดาวพระอาทิตย์คลอบคลุมตัวท่าน 5 ปีเต็ม.

แปลว่างานพุทธศาสนาของท่านจะแพร่ขยายไปทั่วโลก ดึงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ผู้คนจากทุกมุมทุกประเทศของโลกจะหลั่งไหลเข้ามายังวัดพระธรรมกายจนตั้งรับไม่ทัน มากขึ้นเรื่อยๆ



เรื่องเคยมีมาแล้ว
คดี 2 ตายายเก็บเห็ด!!
เริ่มต้น ที่จนท.ป่าไม้!!โดยการนำของ นายอำเภอท้องที่!! ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน!!
ได้นำเจ้าหน้าที่ป่าไม้และอาสาจำนวนมากนำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุก
และตัดไม้กว่า72ไร่ไม่พบตัวผู้กระทำผิด!! แต่ไปพบรถจยย.ของตายายที่จอดเก็บเห็ดโดยจอดทิ้งไว้
จนท.ป่าไม้ได้ยกรถนำไปมอบ ให้ตำรวจท้องที่(พงส) จากนั้นตำรวจก็ตรวจ สอบจากทะเบียนและเชิญตัว2ตายายมาสอบ

                                          เครตดิตภาพจาก:www.manager.co.th

ในฐานะพยาน!!โดยขณะนั้นตายายก็ให้การสดๆ ไม่มีทนายความ!โดยให้การว่าออกไปเก็บเห็ด 
และหาของป่า
วันต่อมาตำรวจเรียก2ตายายมาแจ้งข้อหา!บุกรุกป่า และตัดไม้72ไร่ โดยสองตายายให้การว่า
มาเก็บเห็ดและหาของป่าและให้การปฏิเสธในข้อหาดังกล่าว
ต่อมานายอำเภอ!!สรุปสำนวน!!มีความเห็น"สั่งฟ้อง"!!ให้ตำรวจส่งสำนวนใหักับอัยการ!!และต่อมาอัยการ!!ก็สรุปสำนวนมีความเห็น"สั่งฟ้อง"เช่นกัน
และส่งตัว2ตายายฟ้องศาลและในวันฟ้องนนั้นก็รับสารภาพโดยที่ไม่ทราบเนื้อหาในคำฟ้องใดๆและจากรับสารภาพศาล ได้พิเคราะห์ตามคำฟ้อง ของโจทก์และคำขอท้าย ฟ้องศาลจึงมีคำพิพากษา จำคุก30ปีแต่รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งนึงคงจำคุก 14 ปี12เดือนต่อมาอุทธรณ์ยืนและอยู่ระหว่างฎีกา
แม้ต่อมาสองตายายจะได้รับการช่วยเหลือจนไม่ต้องถูกจำคุกแต่ หัวใจบริสุทธิ์ของสองตายายได้ถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว

                                           เครตดิตภาพจาก:www.manager.co.th

ฉันใดก็ฉันนั้น
คดีความของพระธัมมโยก็เช่นเดียว
หลายคนอาจจะตั้งข้อสังเกตุว่า "ถ้าไม่ผิดแล้วจะกลัวอะไร"
ถ้าลองเปิดใจแล้วตรองข้อมูลเหล่านี้ดูก็อาจถึงบางอ้อ
เจ้าหน้าที่รัฐตั้งของหาให้พระธัมชโยว่า "ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร"
แค่ข้อหาก็ถือว่าแปลกมากแล้ว


1. คำว่าฟอกเงิน คือ การนำเงินที่ทำผิดกฎหมายเข้าสู่กระบวนการทำเงินให้สะอาดแล้วย้อนกลับไปหาเจ้าของทรัพย์ แต่กรณีของพระธัมชโยไม่เข้าเค้าเลย เพราะทางวัดก็นำหลักฐานเส้นทางการเงินมาแสดงแล้วปรากฎว่า นำไปสร้างศาสนสถานเพื่อใช้ประโยชน์ทางพระพุทธศาสนา (เรื่องนี้ปปง.ตรวจสอบได้)

2. หลวงพ่อรับบริจาคอย่างเปิดเผยไม่มีเจตนาทำทุจริตเยี่ยงโจร

3. เงินทุกบาทใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะทั้งหมด ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว ไม่เคยถอนเป็นเงินสดเลย ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินหมดแล้วถูกต้องหมด

4. เมื่อเกิดเหตุแล้วคณะศิษย์ตั้งกองทุนเยียวยาช่วยสมาชิกสหกรณ์เต็มจำนวน สหกรณ์ไม่ติดใจ และขอบคุณวัดพระธรรมกาย แต่เจ้าหน้าที่กลับติดใจ

5. การตั้งข้อหารับของโจร แล้วยกกำลังเป็นพันพร้อมรถหุ้มเกราะ เฮลิคอปเตอร์ บุกวัดในพระพุทธศาสนาเพื่อจับกุมพระชราและอาพาธ จากการกระทำเช่นนี้เองจึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า
เจ้าหน้าที่ตั้งใจทำคดีนี้เกินไปหรือเปล่า?

6. มีความพยายามออกข่าวสู่สาธารณะว่า เพื่อช่วยสหกรณ์ แต่ทั้งหมดที่เจ้าหน้าทีทำ ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อสหกรณ์เลยแม้แต่น้อย

ความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้เอง จึงทำให้ลูกศิษย์ต้องลูกขึ้นมาปกป้องพระธัมมชโย ซึ่งสื่อก็พยายามจะประโค่มข่าวเหลือเกินว่า วัดต่อต้านอำนาจรัฐทั้งที่จริงแล้ว

ศิษย์แค่ต้องการความยุติธรรมที่แท้จริงจากเจ้าหน้าที่รัฐต่างหาก


วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

On 03:49 by EForL   No comments
ในสมัยพุทธกาล มีนักรบคนหนึ่ง มีความเห็นผิดตามคำสอนของอาจารย์ว่า
"การฆ่าคนในสงคราม ยิ่งฆ่าได้มากยิ่งจะได้ไปอยู่ในสวรรค์"
วันหนึ่งนายนักรบมืออาชีพคนนี้ได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทูลถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการฆ่าคนแล้วได้ไปอยู่ในสวรรค์ว่าเป็นจริงอย่างที่อาจารย์ของตนกล่าวไว้ไหม
เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังคำถามดังนี้แล้ว ก็ยังไม่ตอบ แม้ครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังไม่ตอบ
นายนักรบก็ไม่ละความพยายามที่จะถาม พระพุทธองค์เมื่อไม่อาจห้ามความสงสัยของนายคนนี้ได้จึงตรัสตอบว่า
ดูก่อนท่าน..
นักรบคนใด อุตสาหะพยายามในสงคราม โดยตั้งจิตตั้งใจไว้ว่า คนเหล่านี้จงถูกฆ่า จงถูกแทง จงขาดสูญ จงพินาศ หรือว่าอย่าได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเกิดในนรกชื่อสรชิต
เพราะเหตุแห่งความเห็นผิด
ดูก่อนท่าน ก็เราย่อมกล่าวคติ ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ นรก หรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานของบุคคลผู้มีความเห็นผิดเช่นนี้
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว นายนักรบมืออาชีพร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า...
เราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าเลยของดข้อนี้เสียเถิด อย่า
ถามเราถึงข้อนี้เลย เขาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้
ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ กะข้าพระองค์หรอก แต่ว่า
ข้าพระองค์ถูกนักรบอาชีพทั้งอาจารย์และปาจารย์ก่อน ๆ ล่อลวงให้หลงสิ้น
กาลนานว่า นักรบอาชีพคนใดอุตสาหะพยายามในสงครามเมื่อตายจะได้ไปอยู่ในสวรรค์
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือส่องไฟในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักได้เห็นรูป ฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับทั้ง
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำ
ข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่

วันนี้เป็นต้นไป.

อ้างอิงจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏ เล่ม29 หน้า184


วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่ออานนท์ แม้ว่าอานนทเศรษฐีผู้นี้จะมีทรัพย์มากถึง 80 โกฏิ แต่เขามีความตระหนี่ไม่เคยบริจาคสิ่งใดให้แก่ใครเลย ท่านเศรษฐีได้แต่สอนบุตรของตน ผู้ชื่อว่ามูลสิริเนืองๆว่า เจ้าอย่าได้สำคัญว่า ทรัพย์ 80 โกฏินี้มาก อย่าได้ให้ทรัพย์ที่มีอยู่นี้ แต่ควรสร้างทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้น มิฉะนั้นแล้วทรัพย์ของเจ้าก็จะหมดสิ้นไปท่านเศรษฐีได้นำทรัพย์ไปฝังไว้ 5 แห่งในบริเวณบ้าน แต่ไม่ยอมบอกที่ฝังของขุมทรัพย์นั้นแก่บุตรของตน ต่อมหาเศรษฐีก็ได้เสียชีวิตลง



อานนทเศรษฐีเมื่อเสียชีวิตแล้ว ก็ได้ไปถือกำเนิดในครรภ์ของหญิงจัณฑาลผู้หนึ่งในหมู่บ้านของคนจัณฑาล ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี นับตั้งแต่มีทารกมาถือกำเนิดในครรภ์ คนในหมู่บ้านนั้นก็มีรายได้ลดลง พวกคนจัณฑาลนั้นคิดว่า จะต้องมีคนกาลกัณณีอยู่ในหมู่ของพวกตนแน่ๆ จึงแบ่งคนจัณฑาลออกเป็น 2 กลุ่มเพื่อกำจัดคนกาลัณณีนั้นออกไปตามกระบวนการเฟ้นหาคนกาลกัณณี ในที่สุดก็ได้บทสรุปว่า หญิงที่ตั้งครรภ์นั้นจะต้องเป็นคนกาลกัณณี นางจึงถูกขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านนั้น เมื่อบุตรของนางคลอดออกมา ก็เป็นทารกที่มีหน้าตาน่าเกลียดและเป็นคนกาลกัณณีจริงๆ วันใดนางไปขอทานคนเดียว วันนั้นนางก็จะได้สิ่งของ แต่ถ้าวันใดนางนำบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นนางก็จะไม่ได้อะไร ดังนั้นเมื่อบุตรเติบโตพอที่จะขอทานโดยลำพังได้ นางจึงนำภาชนะใส่มือบุตรแล้วบอกให้ไปขอทานตามลำพัง ทารกอดีตอานนทเศรษฐีก็เดินขอทานผ่านไปทางบ้านเดิมของตน เกิดระลึกชาติของตนได้ จึงเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น เมื่อพวกลูกๆของมูลสิริเศรษฐีเห็นทารกจัณฑาลเดินเข้าไปในบ้านก็ตื่นตระหนกตกใจร้องไห้กันโกลาหล พวกคนใช้ได้เข้าทุบตีทารกอดีตอานนทเศรษฐี แล้วนำออกไปโยนไว้ที่กองขยะนอกบ้าน



ขณะนั้น พระศาสดามีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม เสด็จบิณฑบาตผ่านมาถึงที่ตรงนั้นพอดี ได้ตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปตามมูลสิริเศรษฐีออกมาเฝ้า เมื่อมูลสิริเศรษฐีออกมาเฝ้าแล้ว พระศาสดาได้ตรัสว่า ทารกจัณฑาลผู้นี้คืออดีตบิดาของมูลสิริเศรษฐีในอดีตชาติ แต่มูลสิริเศรษฐีไม่เชื่อ พระศาสดาจึงทรงทำการพิสูจน์โดยตรัสบอกให้ทารกจัณฑาลนั้นบอกขุมทรัพย์ 5 แห่งที่ถูกฝังเอาไว้เหล่านั้น พอทารกจัณฑาลบอกได้ถูกต้อง มูลสิริเศรษฐีจึงยอมรับความจริงและได้มายอมรับนับถือพระศาสดา ประกาศตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา