Google+ ธันวาคม 2014 ~ Education For Life

ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต

วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

On 19:25 by EForL   No comments
ธรรมอันเป็นเหตุให้มวลมนุษยชาติทั้งหลาย ได้รับพรที่ยั่งยืนกันตลอดไป
 ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ใน "สาราณียธรรม" ซึ่งมีอยู่ 6 ประการคือ
1. เมตตากายกรรม การกระทำทางกายเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ด้วยเมตตา ปรารถนา  ให้เขามีความสุข


2. เมตตาวจีกรรม การกระทำทางวาจาเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ด้วยเมตตา ปรารถนาให้เขามีความสุข

3. เมตตามโนกรรม การกระทำทางใจเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ด้วยเมตตา ปรารถนาให้เขามีความสุข
4. อัปปฏิวิภัตตโภคิตา ความเป็นผู้ไม่หวงอาหารและของใช้ ควรเผื่อแผ่แบ่งปัน แจกจ่ายให้มีความสุขกันทั่วหน้า
5. สีลสามัญญตา ความเป็นผู้มีศีลเสมอกัน คือมีความประพฤติดีตาม ศีลธรรมเสมอกัน
6. ทิฏฐิสามัญญตา ความเป็นผู้มีทิฏฐิ ความเห็นชอบตรงตามธรรมเสมอกัน ความเห็นที่ไม่เป็นไปเพื่อตัดรอนประโยชน์สุขของผู้อื่น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น และความเห็นนั้นเป็นไปตามทำนองคลองธรรม

ธรรมอันเป็นเหตุให้นึกถึงกัน ที่กล่าวมานี้ เมื่อท่านทั้งหลายนำมาปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้เคารพนับถือกัน มีความสามัคคีในหมู่คณะอันนำมาซึ่งความอยู่เย็นเป็นสุข โดยทั่วหน้ากันตลอดไป.

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

On 19:21 by EForL   No comments
มาลาล่า ยูซุฟไซ เป็นเด็กหญิงชาวปากีสถานที่ถูกยิงโดยกลุ่มตาลิบันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และภายหลังได้รับการรักษาพยาบาลในประเทศอังกฤษจนดีขึ้น เธอได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสหประชาชาติ ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฐานะตัวแทนเรียกร้องให้เกิดความเสมอภาคด้านการศึกษาของเด็กๆ ทั่วโลก

เธอกล่าวสุนทรพจน์ด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง แววตาที่มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง มีข้อความบางตอนว่า
“ สำหรับพี่น้องทุกคน จำไว้หนึ่งอย่างว่า วันมาลาล่า ไม่ใช่วันของข้าพเจ้าแต่เป็นวันของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงทุกคนที่ส่งเสียงสู้เพื่อสิทธิของพวกเขาเอง” 
การที่เธอกล่าวย้ำให้ทุกคนจำประโยชน์นี้ เพราะเธอไม่ต้องการให้ใครมาสนใจในตัวเธอว่าจะเป็นอย่างไรจะถูกยิงอีกสักสองสามนัดหรือว่าอย่างไรแต่สิ่งที่เธอต้องการให้ทุกคนสนใจคือสิทธิเสรีภาพของเด็กที่ควรจะได้รับ
ในปัจจุบันมีนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและคนทำงานด้านสังคมหลายร้อยคน ที่มิได้ลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของตัวเองเท่านั้น แต่ต่อสู้เพื่อบรรลุเป้าหมายของการสร้างสันติภาพ การศึกษา และความเท่าเทียมกันของมนุษย์แต่ไม่มีใครรู้จักสุดท้ายต้องจบชีวิตไปอย่างเงียบงัน 
ในกรณีของมาลาล่าก็เช่นเดียวกันถึงแม้ว่าเธอจะมีความกล้าหาญและเข้มแข็งทางจิตใจมากเพียงใด ถ้าเธอไม่รับการช่วยเหลือจากสหประชาชาติข้อเรียกร้องรวมทั้งร่างกายของเธอก็คงต้องเงียบหายไปเช่นกัน
การที่เธอได้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอย่างกล้าหาญทำให้เสียงของเธอกลับมาดังยิ่งขึ้น แม้ในพื้นที่แถบอาเซียซึ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเท่าไหร่ยังให้ความสนใจในข้อเรียกร้องของหญิงสาวที่ชื่อมาลาล่า
ในมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ ๑๙ ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาหนังสือ “I AM MALALA” ที่ว่างชั้นเดียวกับหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร ขายดีเป็นอำดับต้นของงานในครั้งนี้

ก่อนที่เธอจะลงจากเวทีกล่าวสุนทรพจน์ เธอได้ย้ำถึงจุดยื่นในการออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ว่า
 “การที่กลุ่มตาลิบันได้ยิงที่ศีรษะข้างซ้ายของเธอ แล้วยังยิงเพื่อนของเธอด้วย พวกเขาคิดว่ากระสุนจะทำให้พวกเธอเงียบเสียงได้ แต่พวกเขาล้มเหลว และจากความเงียบงันนั้นยิ่งมีเสียงนับพันก่อเกิดขึ้น พวกผู้ก่อการร้ายคิดว่าจะทำให้เธอเปลี่ยนเป้าหมายและหยุดความตั้งใจ  แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตของเธอเลย ยกเว้นว่า ความอ่อนแอ ความกลัว และความสิ้นหวังได้ตายลงไป แต่ความเข้มแข็ง พลัง และความกล้าหาญได้เกิดขึ้นมาใหม่และเพิ่มมากยิ่งกว่าเดิมด้วย
ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเกลียดตาลีบันผู้ที่ยิงข้าพเจ้าเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้หากข้าพเจ้ามีปืนอยู่ในมือ และเขายืนอยู่หน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ยิงเขา นี่คือจิตวิญญาณของข้าพเจ้าที่มีให้กับสันติและความรักต่อทุกคน 
พี่ชายและพี่สาวทุกคน เราต้องไม่ลืมว่าคนอีกหลายล้านคนกำลังทนทุกข์จากความยากจน ความไม่เท่าเทียมกันและความไม่รู้ เราต้องไม่ลืมว่ามีเด็กหลายล้านคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เราต้องไม่ลืมว่ามีพี่สาวพี่ชายอีกมากที่กำลังรออนาคตที่สดใสและสันติ
ฉะนั้นขอให้เราร่วมกันต่อสู้กับการไม่รู้หนังสือ ความยากจน และการก่อการร้าย ให้เราหยิบหนังสือ ปากกาของเราขึ้นมา มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน หนังสือหนึ่งเล่ม และปากกาหนึ่งด้ามสามารถเปลี่ยนโลกได้ การศึกษาเป็นวิธีแก้ปัญหาทางเดียว การศึกษาต้องมาก่อน ขอบคุณค่ะ

อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์ต่างแสวงหาสันติภาพกันทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าข้อเรียกร้องของมาลาล่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ก็ใช่ว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นมาในโลก คนที่มีความรู้หนังสือมากมายใช้ความรู้ในการก่อสงคราม ใช้ความรู้ในการกดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่าหรืออื่นๆมากมาย ที่เป็นอย่างนี้เพราะในตัวมนุษย์ยังมีอำนาจความอยากได้ อยากมี อยากเป็นสิงสถิตอยู่ในใจ ถึงจะแก้อย่างไรถ้าแก้ไม่ถูกจุดสันติภาพที่แท้จริงก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้นี้คือความจริง
On 03:34 by EForL   No comments














หลายคนต้องเจอปัญหากวนใจจนทำให้ไม่อาจตั้งสติทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะเวลาเปิดหน้าต่างบราวเซอร์ทีไรเจอเจ้า Mystarsearch ทุกที
ก่อนที่จะไปลบมันออกเราลองดูพฤติกรรมการใช่อินเตอร์เน็ตของเราก่อนว่าปล่อยให้เจ้าวายร้ายเข้ามาได้ไง
๑. อาจจะมาพร้อมการติดตั้งซอฟแวร์ Maxiget
๒. อาจจะมาพร้อมกับการ VLC หรืออื่นๆ












มาดูขั้นตอนการลบ Mystartsearch ออกจากเว็ปบราวเซอร์Internet Explorer สำหรับวินโดว์ 7 ก่อน

๑. ถอดการติดตั้งเจ้าวายร้าย Mystartsearch ออก (อาจจะหายากก็ต้องลองสังเกตทั้งชื่อและสัญลักษณ์ที่เป็นรูปกล่องของขวัญ) เมื่อหาเจอแล้วก็ Uninstall or Remove ออกได้เลย


๒.สำหรับ IE เปิดเว็ปขึ้นมาแล้วเข้าไปที่ Tools ไปที่ Internet Options จะได้หน้าต่างใหม่ขึ้นมา
จากนั้นไปเลือกตรง Settings ต่อด้วยเลือก Search ก่อน เพื่อลบ Add Ons ที่แปลกๆ ลบออกโดยการกดเลือกแล้วกด Remove ด้านล่าง (ที่บอกว่าแปลกๆ เพราะเจ้าตัว Mystarsearch มันจะไม่ระบุชัดเจน) จากนั้นก็ close















๓. เมื่อทำตามขั้นตอนที่สองเสร็จแล้วกลับมาที่หน้าต่าง Internet Options เลือก Use blank จากนั้นก็ตอบ OK ปุ่มด้านล่าง

๔. คลิกขวาตรงไอคอน IE เลือกด้านล่างจากนั้นเลื่อนเมาส์มาตรงคำว่า Internet Explorer คลิกขวาอีกทีแล้วเลือก Properties เมื่อหน้าต่างใหม่ปรากฏขึ้นมาให้เลือกตรงแท็บ Shortcut ในช่อง Taget: ให้เลือกลบตรงที่ http:// www.mystarsearch.com...........ออก แล้วกด OK


๕. ปิด Internet Explorer แล้วลองเปิดขึ้นมาใหม่

ปล.อาจจะอธิบายสั้นนิดหนึ่ง เพราะเข้าใจว่าหลายท่านคนมีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์มาพอสมควร หากไม่เข้าใจขั้นตอนไหนสอบถามมาได้นะครับ




วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

On 03:12 by EForL   No comments
ผมมีเพื่อน 422 คน แต่ผมยังรู้สึกเดียวดาย ผมคุยกับพวกเขาทุกวัน แต่.....ไม่มีใครสักคนที่รู้จักผมจริงๆ ปัญหาก็คือผมไม่อาจสบตาพวกเขาขณะสนทนา ได้แต่มองชื่อบนหน้าจอ ผมจึงถอยออกมา เปิดตาดูอีกครั้ง ผมมองไปรอบๆ และตระหนักได้ว่า สิ่งที่เราเรียกว่า "โซเซียล" นั้นคือ การเปิดหน้าจอคอมขึ้น แต่ปิดประตูห้องของเราลง
เทคโนโลยีเหล่านี้ ล้วนเป็นเพียงภาพมายาของชุมชน มิตรภาพและความรู้สึกร่วม แต่หากคุณถอยห่างจากเครื่องมือสร้างความหลงนี้ไม่ได้ คุณจะไม่มีวันตื่นและเห็นโลกอันอลหม่าน โลกที่เราตกเป็นทาสของสิ่งที่เราสร้างขึ้น โลกที่ข้อมูลของเราถูกขายโดยเหล่าคนโลภ โลกที่สนใจแต่ตนเอง ภาพลักษณ์ และโปรโมทตัวตน โลกที่เราแชร์สิ่งสวยงาม แต่กลับไร้อารมณ์
 เราดูมีความสุขกับสิ่งที่เราแชร์ แต่จะเป็นอย่างนั้นรึเปล่า หากไม่มีใครอยู่ด้วยเลย จงอยู่กับเพื่อนของคุณ และเขาจะอยู่เช่นกัน แต่จะไม่มีใครเลย หากการอยู่นั้นเป็นเพียงอักษร
 เราตกแต่งเสริมเติม เพื่อถ้อยคำเยินยอ เราแสร้งทำเป็นไม่เห็น  ความโดดเดี่ยวในสังคม เราร้อยเรียงคำพูด เพื่อให้เราดูเจิดจรัสขึ้น โดยแทบไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามีใครฟังอยู่ไหม การอยู่คนเดียวไม่ใช่ปัญหา ขอให้ผมได้อธิบาย สถานะว่ากำลังทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ก็พอ
เงยหน้าขึ้นจากมือถือและปิดหน้าจอซะ  ชีวิตเรามีจำกัด วันเวลาของเรามีไม่มาก อย่าเสียเวลาจมจ่อไปกับโลกอินเตอร์เน็ต  เพราะเมื่อถึงคราวจากลา คุณอาจต้องพบกับความเสียใจผมเองก็ผิดเช่นกันที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเหล่านี้ โลกดิจิตอลที่ได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัวจริง ที่ซึ่งเราพิมพ์แทนที่จะพูด ที่ซึ่งเราใช้เวลาร่วมกัน แต่ปราศจากการสบตา อย่าให้ชีวิตของคุณไหลไปตามกระแสนี้ จงมอบความรัก อย่าได้แค่กดไลค์ ยุติความอยากโอ่ประโคมตัวตน ไปสู่โลกกว้าง ทิ้งสิ่งล่อลวงไว้ข้างหลังเงยหน้าจากมือถือและปิดหน้าจอซะ และใช้ชีวิตจริงๆ เสียที
อาการจมหายอยู่กับโลกดิจิตอล มันเกิดขึ้นมาได้ 7 - 8 ปีนี้เอง ตั้งแต่สมัยใช้อินเตอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือใช้โน๊ตบุค แต่อาการติดดิจิตอลมันเกิดขึ้นมาเต็มที่เมื่อมีสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเกิดขึ้น เพราะของเหล่านี้ใช้ติดตัวตลอดเวลา จนเกิดเป็นโรคขาดดิจิตอลไม่ได้ จนต้องมีคลินิกดิจิตอลขึ้นมา เด็กอายุน้อยสุดที่ต้องมารักษาโรคติดดิจิตอล อายุต่ำสุด คือ 4 ขวบ คือถ้าคุณแม่หยิบเอาแท็บเล็ตออกไปจากมือ เด็กเกิดอาการอาเจียนเลย เพราะรู้สึกว่าทนไม่ได้ ขาดไม่ได้ ที่จะไม่มีเครื่องมือดิจิตอลอยู่กับตัว นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

On 07:27 by EForL   No comments
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ ไอน์สไตน์ เป็นผลงานที่น่าเกรงขาม เพราะไม่เพียงแต่สะท้อนถึงภูมิปัญญาที่เหนือมนุษย์ แต่ยังสะท้อนถึงความละเอียดอ่อนในการคำนวณทางคณิตศาสตร์ หลักการคำนวณของเขา สามารถนำไปพิสูจน์กฎทางฟิสิกส์อื่นๆได้อย่างสอดคล้องและครอบคลุม ทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก่อนหน้าเขาเคยคิดขึ้นมาสั่งสมกันนับพันปี
ทฤษฎีของไอน์สไตน์ ก็ก่อให้เกิด คลื่นลูกที่สาม เกิดการปฏิวัติเทคโนโลยี มีการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร โทรคมนาคม อย่างมหาศาล ระบบดาวเทียม เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่น DVD ระบบ GPS ไมโครเวฟ แสงเลเซอร์ จอภาพโทรทัศน์ เครื่องถ่ายเอกสาร โทรศัพท์มือถือ Fiber optic ฯลฯ หรือใครที่สายตาสั้นแล้วไปทำเลสิก ก็ต้องนึกขอบคุณไอน์สไตน์เพราะทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วพัฒนามาจากพื้นฐานทางทฤษฎีของไอน์สไตน์ทั้งสิ้น

และเช่นกัน เหรียญย่อมมีสองด้าน มีมนุษย์อีกพวกหนึ่ง นำทฤษฎีของไอน์สไตน์ ไปพัฒนาสร้างอาวุธทำลายล้างสูง อย่างระเบิดปรมาณู และทดลองไปทิ้งที่ฮิโรชิมาเป็นที่แรก โลกต้องตะลึงในอานุภาพของมัน ด้วยมวลของมวลสารเพียง 0.7 กรัม สลายตัวภายใน 0.01 วินาที ให้พลังงานออกมาขนาดทำเอาเมืองฮิโรชิมาราบไปทั้งเมือง

ไอน์สไตน์เป็นคนเชื้อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ในวัยเด็กเขาเป็นคนที่มีความคิดช้า ซึ่งจะว่าไปแล้วน่าจะเป็นคนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบมากกว่าเพราะตอนอายุได้ 5 ขวบ คุณพ่อเอาเข็มทิศมาให้ดูแล้วถามว่าเหตุใดเข็มทิศจึงชี้ไปทางเหนือเสมอ เขาตอบว่ามันต้องมีอะไรหรือพลังงานอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ในอากาศคอยดึงให้เข็มชี้ไปทางนั้น

ในเรื่องการเรียนไอน์สไตน์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนักเพราะในวัยเด็กพ่อแม่มักบังคับให้เรียนในวิชาที่เขาไม่ถนัดอยู่เสมอจนเขาเกิดความคิดว่า การเรียนในห้องเรียนเป็นการเรียนที่ฉาบฉวยนั้งกางตำราแล้วรีบเรียนให้จบๆไป ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไรต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ เขาจึงใช้เวลานอกห้องเรียนศึกษาในสิ่งที่เขาถนัดนั้นคือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จนเกิดงานเขียนจากการศึกษานอกห้องเรียนขึ้นอย่างมากมาย

เมื่อสำเร็จการศึกษา เขาได้ทำงานที่ไม่ตรงกับความถนัดเท่าไร แต่ก็มีเวลาว่างมากพอที่จะศึกษาในสิ่งที่เขาถนัดอย่างละเอียด พร้อมกับนำเสนอสิ่งที่เขาได้ศึกษาผ่านวารสาร อันนาเล็น เดอร์ ฟิสิก( Annalen Der  Physik )

ยิ่งวันเวลาในชีวิตผ่านไม่มากเท่าไรสิ่งที่ไอน์สไตน์ได้นำเสนอยิ่งได้รับการพิสูจน์ออกมาในรูปแบบของวิทยาศาสตร์มากเท่านั้น และเป็นที่ยอมรับในวงกว้างด้วย

แม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่การค้นพบสัจธรรมบางอย่างของจักรวาลผ่านจินตนาการและทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเขา เข้าใกล้ และเข้าถึงความจริงบางด้านของธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบและประกาศมาก่อนหน้านับพันปี และเมื่อภายหลัง ไอน์สไตน์ได้ศึกษาเรื่องราวของพุทธศาสนาจากเพื่อนนักเขียนคนหนึ่ง ไอน์สไตน์ถึงกับประหลาดใจ ที่การค้นพบของเขาเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของศาสนาแห่งจักรวาล





ความจริงของจักรวาลมีเพียงความจริงเดียว มีระบบระเบียบและความสมบูรณ์อยู่ในตัวเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาค้นหา โดยใช้หลักทางตรรกะ เหตุผล พิสูจน์ออกมาเป็นตัวเลขและทฤษฎีทางฟิสิกส์ ในขณะที่พระพุทธองค์ใช้ปัญญาญานในการค้นคว้าความจริงแท้แห่งจักรวาล ในเมื่อต่างฝ่ายต่างต้องการหาความจริงแท้อันเดียวกัน แต่วิถีทางต่างกัน ในที่สุด เมื่อเข้าใกล้ความจริงแท้ จะพบว่าการค้นพบของทั้งสองวิถีมีความสอดคล้องกันอย่างมหัศจรรย์
ไอน์สไตน์เป็นคนที่ไม่กลัวความตาย เขาเคยเขียนไว้ว่า การกลัวความตายคือความกลัวที่ไม่มีเหตุผลที่สุดในบรรดาความกลัวทั้งปวง ( The fear of death is the most unjustified of all fears )
ไอน์สไตน์เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ.1955 อายุ 76 ปี พร้อมทั้งทิ้งงานที่คั่งค้างอยู่คือ การคิดทฤษฎีที่จะรวมแรงพื้นฐานในธรรมชาติที่มีอยู่ 4 ชนิดเข้าไว้ในกฎเดียวกันคือ
 1. แรงโน้มถ่วง
 2. แสงหรือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
 3. แรงนิวเคลียร์ชนิดอ่อน
 4. แรงนิวเคลียร์ชนิดเข้ม

ถ้ากฎนี้เกิดได้จริงความลับของจักรวาลจะถูกเปิดเผยมากกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพหลายเท่า การเหาะเหินเดินอากาศของมนุษย์จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทฤษฎีนี้จะสามารถอธิบายอนุภาคพื้นฐานทุกชนิดในจักรวาลรวมไปถึงอธิบายได้ถึงปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพและแรงทุกระบบในจักรวาลได้หมด 
ถึงแม้ "อัลเบิร์ต ไอสไตล์ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง "The Human Side" ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

 "ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"