Google+ มีนาคม 2016 ~ Education For Life

ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องของความสำเร็จและความล้มเหลวเท่านั้น ยังมีหลายอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบแห่งชีวิต หนึ่งในจำนวนนั้นคือ "ความสุข" ชีวิตที่ไร้สุข แม้จะประสบความสำเร็จ จะเรียกว่าเป็นชีวิตที่มีคุณภาพได้อย่างไร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในอันนนาถสูตร ว่า "ความสุข ๔ ประการ
ที่มนุษย์(ผู้ครองเรือน)ทุกคนพึงได้รับตามกาลสมัย" ได้แก่
1. สุขอันเกิดจากการมีทรัพย์
2. สุขอันเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง หรือสร้างประโยชน์สุขต่อบุคคลอื่นในสังคม
3. สุขจากการไม่เป็นหนี้
4. สุขอันเกิดจากการทำงานไม่มีโทษ คือความภูมิใจว่าตนมีความประพฤติสุจริต มีอาชีพที่สุจริต ไม่ได้ไปปล้นใครกิน

ความสุขทั้งสี่ประการนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า ความสุขอันเกิดจากการทำงานไม่มีโทษยอดเยี่ยมที่สุด

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

ณ ป่าแห่งหนึ่ง  มีฝูงนกกระจาบฝูงใหญ่อาศัยอยู่ในราวป่า
 วันหนึ่ง นกกระจาบจ่าฝูงได้แนะนำนกกระจาบทุกตัวว่า
   " ท่านทั้งหลาย เมื่อถูกตาข่ายของนายพรานครอบแล้ว ให้ท่านทุกตัวสอดหัวเข้าในตาข่ายตาหนึ่งๆ แล้วพากันบินไปที่ต้นไม้มีหนาม ทิ้งตาข่ายไว้แล้วบินหนีไปนะ " หมู่นกกระจาบพากันรับคำ
ต่อมาอีกสองวัน ฝูงนกกระจาบถูกตาข่ายของนายพรานเข้าก็พากันทำเช่นนั้น
ทำให้นกทุกตัวสามารถหนีรอดไปได้
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นกกระจาบเหล่านี้กำลังหากินอาหาร มีนกกระจาบตัวหนึ่งบินลงพื้นแต่พลาดไปเหยียบถูกหัวนกกระจาบอีกตัวหนึ่งเข้า ตัวถูกเหยียบหัวโกรธจึงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันลามไปทั้งฝูง ฝ่ายนกกระจาบจ่าฝูง เห็นพวกนกมัวแต่ทะเลาะกัน ก็คิดว่า
   " ขึ้นชื่อว่า การทะเลาะกัน ย่อมไม่มีความปลอดภัย ความพินาศจะเกิดขึ้น "
จึงได้พาบริวารส่วนหนึ่งบินหนีไปอยู่ที่อื่น
ฝ่ายนายพราน พอผ่านไปสองสามวัน ก็มาดักตาข่ายอีก
พอฝูงนกติดตาข่ายของนายพรานในครั้งนี้อีก ต่างทะเลาะกัน เกี่ยงกันบิน ต่างคนต่างบินไปคนละทิศคนละทาง สุดท้ายตาข่ายก็ไม่ลอยขึ้นไปที่สูง เมื่อนายพรานตรวจดูตาข่ายก็เห็นฝูงนกติดอยู่เต็มไปหมด จึงรวบไปเป็นอาหารและขายเพื่อนำทรัพย์มาเลี้ยงชีพ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การทะเลาะกัน นำมาซึ่งความพินาศ

กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองตักกะศิลา มีพราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาวสวยงามมาก เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วทั้งอาณาจักร ในแต่ละวันจะมีชายหนุ่มมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาจีบลูกสาวของพราหมณ์คนนี้อย่างไม่ขาดสาย ในบรรดาชายหนุ่มที่เข้ามาจีบลูกสาวของพราหมณ์นั้น มีชายหนุ่ม ๔ คน ที่เข้าตาของพราหมณ์ คือ
คนที่ ๑ เป็นคนรูปหล่อ
คนที่ ๒ มีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตา
คนที่ ๓ เป็นเศรษฐีมั่งคั่ง
คนที่ ๔ เป็นคนมีศีลธรรม
พราหมณ์คิดหนักว่าจะเลือกใครเป็นลูกเขยดี เพราะทั้ง ๔ คน ก็มีความดีแตกต่างกันไป เขาจึงตัดสินใจไปปรึกษาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า
"ท่านอาจารย์ครับ ผมมีเรื่องกลุ้มใจมาปรึกษาอาจารย์ คือมีชายหนุ่มที่มีลักษณะเด่นอยู่ ๔ คน มาจีบลูกสาวผม ผมคิดไม่ตกว่าจะเลือกใครดี ถ้าอาจารย์เป็นผมจะเลือกเอาคนไหน ระหว่างคนหล่อ คนมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตา คนมีเงินมาก และคนมีศีล"
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ตอบว่า "รูปร่างหน้าตาดีก็มีประโยชน์ คนมีชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาก็น่าเคารพ ผู้มีเงินมีทองมีชาติสูงก็มีประโยชน์ แต่ข้าพเจ้าชอบใจศีล"
 "เพราะ....คนไม่มีศีลถึงรูปหล่อก็น่าตำหนิ คนไม่มีศีลถึงมีชื่อเสียงก็ไม่น่าคบหา คนไม่มีศีลถึงมีทรัพย์มากก็ไม่อาจรักษาทรัพย์ได้ "
พราหมณ์ฟังแล้วชอบใจ พอกลับไปถึงบ้านจึงตัดสินในยกลูกสาวให้แก่คนผู้มีศีลไป

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ผู้มีศีลธรรมย่อมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง”