วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552
On 01:02 by EForL No comments
1. การใช้ Router ที่ทำจากเซิร์ฟเวอร์จะทำให้เกิดข้อจำกัดในรูปแบบการเชื่อมต่อ โดยมีรูปแบบการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด
ก.จุด (Point To Point)
ข.ระหว่างเครือข่ายกับ Router
ค.ระหว่าง Router
ง.ระหว่างเครือข่ายกับจุด
เฉลย ง.ระหว่างเครือข่ายกับจุด ที่ผิดเพราะเป็น รูปแบบการเชื่อมต่อระหว่างจุด (Point To Point) ระหว่างเครือข่ายกับ Router และ ระหว่าง Router
2.ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยการติดตั้ง Router บน WAN
ก.รูปลักษณะของการเชื่อมต่อ (Topology)
ข. ขนาดและจำนวนของเครือข่าย
ค. รูปแบบของการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ง.ไม่มีข้อถูก เพราะทั้งหมดนี้คือปัจจัยในการพิจารณาในการติดตั้ง Router บน WAN
3.ในกรณีที่ท่านต้องการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่า 2 เครือข่ายขึ้นไป ท่านควรพิจารณาเลือกใช้ layerใด
ก. Layer 1 Switching Hub
ข. Layer 2 Switching Hub
ค. Layer 3 Switching Hub
ง. Layer 4 Switching Hub
เฉลย ค. Layer 3 Switching Hubเนื่องจากอัตราความเร็ว รวมทั้งปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่ข้ามไปมาหลายเครือข่ายสามารถทำได้อย่างรวดเร็วแหล่งที่มา บรรทัดสุดท้ายของ ย่อหน้าที่ 2 หัวข้ออัตราความเร็วที่ต้องการ จากเว็บ
4.ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย มีไม่เกินกี่เมตรท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP
ก.100 เมตร
ข.200 เมตร
ค.300 เมตร
ง.400 เมตร
เฉลย หากระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย มีไม่เกิน 200 เมตร ท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP
5.ข้อใดคือปัจจัยในการพิจารณาเลือกใช้ Local Router
ก.อัตราความเร็วที่ต้องการ
ข.ประเภทของสื่อสัญญาณ (สายสัญญาณ) ที่ใช้
ค.ปริมาณและขนาดความซับซ้อนของเครือข่าย
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย เลือกใช้ Local Router ในรูปแบบใด ให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้- ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่าง เครือข่าย (แม้จะอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน หรือใกล้กันก็ตาม)- อัตราความเร็วที่ต้องการ-ประเภทของสื่อสัญญาณ (สายสัญญาณ) ที่ใช้-โปรโตคอลการสื่อสารระหว่างเครือข่าย โปรโตคอลของแลนที่นำมาเชื่อมต่อระหว่างกัน- ปริมาณและขนาดความซับซ้อนของเครือข่าย- ปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่วิ่งไปมาระหว่างเครือข่าย- รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) ของเครือข่าย-โปรโตคอลเลือกเส้นทาง (Routing Protocol) ที่จะนำมาใช้
6.ในกรณีที่มีเครือข่าย หลายเครือข่ายติดตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และต้องการเชื่อมต่อเพื่อสื่อสารระหว่างกัน จะต้องพิจารณาใช้ Switching Hub แบบ Layer ใดเพื่อติดตั้ง Router
ก.1
ข.2
ค.3
ง.4
เฉลย ค.3 ในกรณีที่มีเครือข่าย หลายเครือข่ายติดตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และต้องการเชื่อมต่อเพื่อสื่อสารระหว่างกัน จะต้องพิจารณาใช้ Switching Hub แบบ Layer 3 หรือ พิจารณาเพื่อติดตั้ง Router ในรูปแบบของเซิร์ฟเวอร์นั่นคือการติดตั้งการ์ดแลนหลายชุดบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์
7.กฎกติกาขั้นพื้นฐานของ การจัดวาง Router ที่เชื่อมต่อกันบน WAN ได้แก่ กฎกติกาการไหลของข้อมูลข่าวสารแบบ
ก.แบบ 60/40
ข.แบบ 70/30
ค.แบบ 80/20 %
ง.แบบ 90/10
เฉลย กฎกติกาขั้นพื้นฐานของ การจัดวาง Router ที่เชื่อมต่อกันบน WAN ได้แก่ กฎกติกาการไหลของข้อมูลข่าวสารแบบ 80/20 % ซึ่งในที่นี้ หมายความว่า 80% ของข้อมูลข่าวสารที่จะสื่อสารกัน จะต้องเกิดขึ้นภายในเครือข่าย เดียวกัน จะต้องไม่ข้ามออกไปทาง Router มิเช่นนั้น เครือข่ายจะทำงานช้าอย่างเห็นได้ชัด ส่วน 20% หมายถึง ปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่จะข้ามไปมาระหว่างเครือข่าย
8. Router ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายชนิดติดตั้งบนแลนและเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายด้วยสายสัญญาณของระบบแลน เราเรียกว่า
ก. Internal Router
ข. Local Router
ค. Internet Router
ง.ถูกทั้ง ก และ ข
เฉลย ง.ถูกทั้ง ก และ ข หรือ Router ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายชนิดติดตั้งบนแลนและเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายด้วยสายสัญญาณของระบบแลน เราเรียกว่า Local Router หรือบางครั้งจะถูกเรียกว่า Internal Router
9.การเช่าคู่สาย 64K ขึ้นไป เราเรียกว่าอะไร
ก. LAN Router
ข.M AN Router
ค. WAN Router
ง.ถูกทุกข้อเฉลย ข. การเช่าคู่สาย 64K ขึ้นไป เราเรียกว่า WAN Routerแหล่งที่มา บรรทัดที่3 ย่อหน้าที่3 ของหัวข้อ การทำงานของเราเตอร์จากเว็บ
10.จุดเข้าใช้งานจะทำหน้าที่คล้ายอะไรต่อไปนี้ถูกต้องที่สุด
ก.หอส่งสัญญาณของจานดาวเทียม
ข.หอส่งสัญญาณของวิทยุ
ค.หอส่งสัญญาณของโทรทัศน์
ง.หอส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ
เฉลย จุดเข้าใช้งานจะทำหน้าที่คล้ายกับหอส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ นั่นคือคุณสามารถย้ายจากที่ตั้งหนึ่งไปยังที่ตั้งอื่น ในขณะที่ยังใช้การเข้าถึงแบบไร้สายกับเครือข่ายได้ เมื่อคุณเชื่อมต่อแบบไร้สายกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้เครือข่ายแบบไร้สายสาธารณะ
11..จุดเข้าใช้งาน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก.สถานีกาน
ข.สถานีฐาน
ค.สถานเครือข่าย
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย จุดเข้าใช้งาน (หรือที่เรียกว่า สถานีฐาน)
12.ข้อใดคือคุณลักษณะพิเศษของเราเตอร์
ก.มีการรับข้อมูลแบบไร้สาย
ข.มีการรับส่งข้อมูลโดยใช้ตัวแปลกลาง
ค.มีระบบการส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูงสุด
ง.มีระบบการรักษาความปลอดภัยในตัวเอง
เฉลย ง.มีระบบการรักษาความปลอดภัยในตัว เช่น ไฟร์วอลล์ เราเตอร์จะมีราคาแพงกว่าฮับและสวิตซ์
13.การแบ่งประเภทของ routing algorithm ออกเป็น กี่ ประเภทใหญ่ๆ
ก.2 ประเภท
ข.3 ประเภท
ค.4 ประเภท
ง.5 ประเภท
เฉลย ก 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ประเภท interior routing protocol และ exterior routing protocol ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ก็จะสามารถแยกเป็นย่อยๆได้อีก
14.ในการใช้งาน Interior routing protocol มักจะใช้กับเครือข่ายขนาดใด
ก.เครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่
ข.เครือข่ายขนาดกลางที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่
ค.เครือข่ายขนาดเล็กที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย คInterior routing protocol มักจะใช้กับเครือข่ายขนาดใดเล็กที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่ โดยใช้เป็นเส้นทางการติดต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในกลุ่มสมาชิกด้วยกัน
15.เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่าบริดจ์ ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายใดต่อไปนี้
ก.เครือข่าย LAN
ข.เครือข่าย WAN
ค. เครือข่าย MAN
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ก ทำหน้าที่เชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกันคล้ายกับสวิตช์แต่จะมีส่วนเพิ่มเติมขึ้นมาคือ เราเตอร์สามารเชื่อมต่อ LAN ที่ใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน แต่ใช้สื่อส่งข้อมูลหรือสายส่งต่างชนิดกันได้
16.สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างบริดจ์กับเราเตอร์คือ
ก.บริดจ์มีการทำงานที่ต่ำกว่าคือในระดับชั้นที่3 ของ โมเดล OSI
ข.เราเตอร์มีการทำงานที่ต่ำกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI
ค.บริดจ์มีการทำงานที่สูงกว่าคือในระดับชั้นที่3 ของ โมเดล OSI
ง.เราเตอร์มีการทำงานที่สูงกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI
เฉลย ง สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างบริดจ์กับเราเตอร์คือ เราเตอร์มีการทำงานที่สูงกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI นั่นคือคือ Network Layer โดยจะใช้ logical address หรือ Network Layer address ซึ่งเป็นที่อยู่ซึ่งตั้งโดยซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้แต่ละเครื่องจะตั้งขึ้นให้โปรโตคอลในระดับ Network Layer รู้จัก
17.หน้าที่หลักของเราเตอร์คือข้อใดต่อไปนี้
ก.การหาเส้นทางในการรับข้อมูล
ข.การหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น
ค.การหาเส้นทางในการรับส่งข้อมูล
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ข การหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น โดยในแต่ละเครือข่ายจะมีรูปแบบของ packet ที่แตกต่างกันตามโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบน (ตั้งแต่เลเยอร์ที่ 3 ขึ้นไป) เช่น IP, IPX หรือ AppleTalk
18.ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ข้อดีของการใช้เราเตอร์
ก.การเลือกเส้นทางในการที่จะส่งข้อมูล สามารถใช้เราเตอร์ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
ข.มีความคล่องตัวในการทำงานสูง เนื่องจากสามารถทำงานร่วมกับโทโพโลยีได้ทุกชนิด
ค.การปิดกั้นเครือข่าย หรือแยกเครือข่ายออกจากเครือข่ายที่ไม่ต้องการจะติดต่อด้วย ซึ่งเป็นการรักษาความปลอดภัยวิธีหนึ่ง
ง.เราเตอร์ทำงานภายใต้ OSI เท่านั้น และจะไม่ติดต่อหรือส่งข้อมูลในรูปแบบของโปรโตคอลที่ไม่รู้จัก
เฉลย ง. เราเตอร์ทำงานภายใต้ OSI เท่านั้น และจะไม่ติดต่อหรือส่งข้อมูลในรูปแบบของโปรโตคอลที่ไม่รู้จัก
19.ฮับสวิตซ์เราเตอร์ และจุดเข้าใช้งาน ทั้งหมดนี้ใช้เพื่ออะไร
ก.เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย
ข.เชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย
ค.เชื่อมต่อสัญญาณต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย
เฉลย ก. ฮับสวิตซ์เราเตอร์ และจุดเข้าใช้งาน เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย อย่างไรก็ดีอุปกรณ์แต่ละอย่างมีความแตกต่างกันในด้านความสามารถ
20.ระหว่างเครือข่ายในบ้านกับอินเทอร์เน็ตมีทั้หมดกี่แบบ
ก.4
ข.3
ค.2
ง.1
เฉลย ค 2 แบบคือแบบมีสายและ แบบไร้สาย
ก.จุด (Point To Point)
ข.ระหว่างเครือข่ายกับ Router
ค.ระหว่าง Router
ง.ระหว่างเครือข่ายกับจุด
เฉลย ง.ระหว่างเครือข่ายกับจุด ที่ผิดเพราะเป็น รูปแบบการเชื่อมต่อระหว่างจุด (Point To Point) ระหว่างเครือข่ายกับ Router และ ระหว่าง Router
2.ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยการติดตั้ง Router บน WAN
ก.รูปลักษณะของการเชื่อมต่อ (Topology)
ข. ขนาดและจำนวนของเครือข่าย
ค. รูปแบบของการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ง.ไม่มีข้อถูก เพราะทั้งหมดนี้คือปัจจัยในการพิจารณาในการติดตั้ง Router บน WAN
3.ในกรณีที่ท่านต้องการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่า 2 เครือข่ายขึ้นไป ท่านควรพิจารณาเลือกใช้ layerใด
ก. Layer 1 Switching Hub
ข. Layer 2 Switching Hub
ค. Layer 3 Switching Hub
ง. Layer 4 Switching Hub
เฉลย ค. Layer 3 Switching Hubเนื่องจากอัตราความเร็ว รวมทั้งปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่ข้ามไปมาหลายเครือข่ายสามารถทำได้อย่างรวดเร็วแหล่งที่มา บรรทัดสุดท้ายของ ย่อหน้าที่ 2 หัวข้ออัตราความเร็วที่ต้องการ จากเว็บ
4.ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย มีไม่เกินกี่เมตรท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP
ก.100 เมตร
ข.200 เมตร
ค.300 เมตร
ง.400 เมตร
เฉลย หากระยะทางการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย มีไม่เกิน 200 เมตร ท่านควรใช้ Router ที่ทำจาก Server เนื่องจากว่าราคาถูก อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้ โดยใช้สาย UTP
5.ข้อใดคือปัจจัยในการพิจารณาเลือกใช้ Local Router
ก.อัตราความเร็วที่ต้องการ
ข.ประเภทของสื่อสัญญาณ (สายสัญญาณ) ที่ใช้
ค.ปริมาณและขนาดความซับซ้อนของเครือข่าย
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย เลือกใช้ Local Router ในรูปแบบใด ให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้- ระยะทางการเชื่อมต่อระหว่าง เครือข่าย (แม้จะอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน หรือใกล้กันก็ตาม)- อัตราความเร็วที่ต้องการ-ประเภทของสื่อสัญญาณ (สายสัญญาณ) ที่ใช้-โปรโตคอลการสื่อสารระหว่างเครือข่าย โปรโตคอลของแลนที่นำมาเชื่อมต่อระหว่างกัน- ปริมาณและขนาดความซับซ้อนของเครือข่าย- ปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่วิ่งไปมาระหว่างเครือข่าย- รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) ของเครือข่าย-โปรโตคอลเลือกเส้นทาง (Routing Protocol) ที่จะนำมาใช้
6.ในกรณีที่มีเครือข่าย หลายเครือข่ายติดตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และต้องการเชื่อมต่อเพื่อสื่อสารระหว่างกัน จะต้องพิจารณาใช้ Switching Hub แบบ Layer ใดเพื่อติดตั้ง Router
ก.1
ข.2
ค.3
ง.4
เฉลย ค.3 ในกรณีที่มีเครือข่าย หลายเครือข่ายติดตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และต้องการเชื่อมต่อเพื่อสื่อสารระหว่างกัน จะต้องพิจารณาใช้ Switching Hub แบบ Layer 3 หรือ พิจารณาเพื่อติดตั้ง Router ในรูปแบบของเซิร์ฟเวอร์นั่นคือการติดตั้งการ์ดแลนหลายชุดบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์
7.กฎกติกาขั้นพื้นฐานของ การจัดวาง Router ที่เชื่อมต่อกันบน WAN ได้แก่ กฎกติกาการไหลของข้อมูลข่าวสารแบบ
ก.แบบ 60/40
ข.แบบ 70/30
ค.แบบ 80/20 %
ง.แบบ 90/10
เฉลย กฎกติกาขั้นพื้นฐานของ การจัดวาง Router ที่เชื่อมต่อกันบน WAN ได้แก่ กฎกติกาการไหลของข้อมูลข่าวสารแบบ 80/20 % ซึ่งในที่นี้ หมายความว่า 80% ของข้อมูลข่าวสารที่จะสื่อสารกัน จะต้องเกิดขึ้นภายในเครือข่าย เดียวกัน จะต้องไม่ข้ามออกไปทาง Router มิเช่นนั้น เครือข่ายจะทำงานช้าอย่างเห็นได้ชัด ส่วน 20% หมายถึง ปริมาณของข้อมูลข่าวสารที่จะข้ามไปมาระหว่างเครือข่าย
8. Router ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายชนิดติดตั้งบนแลนและเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายด้วยสายสัญญาณของระบบแลน เราเรียกว่า
ก. Internal Router
ข. Local Router
ค. Internet Router
ง.ถูกทั้ง ก และ ข
เฉลย ง.ถูกทั้ง ก และ ข หรือ Router ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายชนิดติดตั้งบนแลนและเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายด้วยสายสัญญาณของระบบแลน เราเรียกว่า Local Router หรือบางครั้งจะถูกเรียกว่า Internal Router
9.การเช่าคู่สาย 64K ขึ้นไป เราเรียกว่าอะไร
ก. LAN Router
ข.M AN Router
ค. WAN Router
ง.ถูกทุกข้อเฉลย ข. การเช่าคู่สาย 64K ขึ้นไป เราเรียกว่า WAN Routerแหล่งที่มา บรรทัดที่3 ย่อหน้าที่3 ของหัวข้อ การทำงานของเราเตอร์จากเว็บ
10.จุดเข้าใช้งานจะทำหน้าที่คล้ายอะไรต่อไปนี้ถูกต้องที่สุด
ก.หอส่งสัญญาณของจานดาวเทียม
ข.หอส่งสัญญาณของวิทยุ
ค.หอส่งสัญญาณของโทรทัศน์
ง.หอส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ
เฉลย จุดเข้าใช้งานจะทำหน้าที่คล้ายกับหอส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ นั่นคือคุณสามารถย้ายจากที่ตั้งหนึ่งไปยังที่ตั้งอื่น ในขณะที่ยังใช้การเข้าถึงแบบไร้สายกับเครือข่ายได้ เมื่อคุณเชื่อมต่อแบบไร้สายกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้เครือข่ายแบบไร้สายสาธารณะ
11..จุดเข้าใช้งาน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก.สถานีกาน
ข.สถานีฐาน
ค.สถานเครือข่าย
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย จุดเข้าใช้งาน (หรือที่เรียกว่า สถานีฐาน)
12.ข้อใดคือคุณลักษณะพิเศษของเราเตอร์
ก.มีการรับข้อมูลแบบไร้สาย
ข.มีการรับส่งข้อมูลโดยใช้ตัวแปลกลาง
ค.มีระบบการส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูงสุด
ง.มีระบบการรักษาความปลอดภัยในตัวเอง
เฉลย ง.มีระบบการรักษาความปลอดภัยในตัว เช่น ไฟร์วอลล์ เราเตอร์จะมีราคาแพงกว่าฮับและสวิตซ์
13.การแบ่งประเภทของ routing algorithm ออกเป็น กี่ ประเภทใหญ่ๆ
ก.2 ประเภท
ข.3 ประเภท
ค.4 ประเภท
ง.5 ประเภท
เฉลย ก 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ประเภท interior routing protocol และ exterior routing protocol ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ก็จะสามารถแยกเป็นย่อยๆได้อีก
14.ในการใช้งาน Interior routing protocol มักจะใช้กับเครือข่ายขนาดใด
ก.เครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่
ข.เครือข่ายขนาดกลางที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่
ค.เครือข่ายขนาดเล็กที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย คInterior routing protocol มักจะใช้กับเครือข่ายขนาดใดเล็กที่มีเครือข่ายขนาดย่อยเชื่อมต่อเป็นสมาชิกอยู่ โดยใช้เป็นเส้นทางการติดต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในกลุ่มสมาชิกด้วยกัน
15.เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่าบริดจ์ ทำหน้าที่เชื่อมต่อเครือข่ายใดต่อไปนี้
ก.เครือข่าย LAN
ข.เครือข่าย WAN
ค. เครือข่าย MAN
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ก ทำหน้าที่เชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกันคล้ายกับสวิตช์แต่จะมีส่วนเพิ่มเติมขึ้นมาคือ เราเตอร์สามารเชื่อมต่อ LAN ที่ใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน แต่ใช้สื่อส่งข้อมูลหรือสายส่งต่างชนิดกันได้
16.สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างบริดจ์กับเราเตอร์คือ
ก.บริดจ์มีการทำงานที่ต่ำกว่าคือในระดับชั้นที่3 ของ โมเดล OSI
ข.เราเตอร์มีการทำงานที่ต่ำกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI
ค.บริดจ์มีการทำงานที่สูงกว่าคือในระดับชั้นที่3 ของ โมเดล OSI
ง.เราเตอร์มีการทำงานที่สูงกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI
เฉลย ง สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างบริดจ์กับเราเตอร์คือ เราเตอร์มีการทำงานที่สูงกว่าคือ ในระดับชั้นที่ 3 ของ โมเดล OSI นั่นคือคือ Network Layer โดยจะใช้ logical address หรือ Network Layer address ซึ่งเป็นที่อยู่ซึ่งตั้งโดยซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้แต่ละเครื่องจะตั้งขึ้นให้โปรโตคอลในระดับ Network Layer รู้จัก
17.หน้าที่หลักของเราเตอร์คือข้อใดต่อไปนี้
ก.การหาเส้นทางในการรับข้อมูล
ข.การหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น
ค.การหาเส้นทางในการรับส่งข้อมูล
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย ข การหาเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งผ่านข้อมูล และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น โดยในแต่ละเครือข่ายจะมีรูปแบบของ packet ที่แตกต่างกันตามโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบน (ตั้งแต่เลเยอร์ที่ 3 ขึ้นไป) เช่น IP, IPX หรือ AppleTalk
18.ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ข้อดีของการใช้เราเตอร์
ก.การเลือกเส้นทางในการที่จะส่งข้อมูล สามารถใช้เราเตอร์ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
ข.มีความคล่องตัวในการทำงานสูง เนื่องจากสามารถทำงานร่วมกับโทโพโลยีได้ทุกชนิด
ค.การปิดกั้นเครือข่าย หรือแยกเครือข่ายออกจากเครือข่ายที่ไม่ต้องการจะติดต่อด้วย ซึ่งเป็นการรักษาความปลอดภัยวิธีหนึ่ง
ง.เราเตอร์ทำงานภายใต้ OSI เท่านั้น และจะไม่ติดต่อหรือส่งข้อมูลในรูปแบบของโปรโตคอลที่ไม่รู้จัก
เฉลย ง. เราเตอร์ทำงานภายใต้ OSI เท่านั้น และจะไม่ติดต่อหรือส่งข้อมูลในรูปแบบของโปรโตคอลที่ไม่รู้จัก
19.ฮับสวิตซ์เราเตอร์ และจุดเข้าใช้งาน ทั้งหมดนี้ใช้เพื่ออะไร
ก.เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย
ข.เชื่อมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย
ค.เชื่อมต่อสัญญาณต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย
เฉลย ก. ฮับสวิตซ์เราเตอร์ และจุดเข้าใช้งาน เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ เข้าด้วยกันบนเครือข่าย อย่างไรก็ดีอุปกรณ์แต่ละอย่างมีความแตกต่างกันในด้านความสามารถ
20.ระหว่างเครือข่ายในบ้านกับอินเทอร์เน็ตมีทั้หมดกี่แบบ
ก.4
ข.3
ค.2
ง.1
เฉลย ค 2 แบบคือแบบมีสายและ แบบไร้สาย
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552
On 01:31 by EForL No comments
ETHERNET
Ethernet เป็นเทคโนโลยีสำหรับเครือข่ายแบบแลน
(LAN) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน คิดค้นโดยบริษัท Xerox
ตามมาตรฐาน IEEE 802.3 การเชื่อมเครือข่ายแบบ Ethernet
สามารถใช้สายเชื่อมได้ทั้งแบบ Co-Axial และ UTP
(Unshielded Twisted Pair) โดยสายสัญญาณที่ได้รับความนิยม คือ UTP
10Base-T ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 10
Mbps ผ่าน Hub ทั้งนี้การเชื่อมคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย
ไม่ควรเกิน 30 เครื่องต่อหนึ่งวงเครือข่าย เนื่องจากอุปกรณ์ใน Ethernet LAN
จะแข่งขันในการส่งข้อมูล หากส่งข้อมูลพร้อมกัน และสัญญาณชนกัน
จะทำให้เกิดการส่งใหม่ (CSMD/CD: Carrier sense multiple access with
collision detection) ทำให้เสียเวลารอ
ระบบที่ใช้อีเทอร์เน็ตนั้น เหมาะกับงานที่ต้องการรับส่ง/ข้อมูลในอัตราความเร็วสูงเป็นช่วง
ๆ เป็นครั้งคราว การรับ/ส่งข้อมูลในเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ตแต่ละเครื่องจะเป็นไปอย่างไม่มีวินัย
นั่นคือ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าในขณะนั้นไม่มีเครื่องอื่น ๆ กำลังส่งข้อมูล
แต่ละอย่างเครื่องจะแย่งกันส่งข้อมูลออกมา โดยเครื่องใดที่ส่งข้อมูลออกมาจะมีหน้าที่เฝ้าดูว่ามีเครื่องอื่นทำการส่งข้อมูลออกไปพร้อมกันด้วยหรือไม่
เพราะถ้าเกิดการส่งพร้อมกันแล้วจะก่อให้เกิดการชนกันของข้อมูล
แต่ถ้าตรวจจับได้ว่ามีการขนกันขึ้นก็จะหยุดส่งแล้วรอคอยเป็นระยะเวลาสั้น ๆ
ก่อนจะทำการส่งข้อมูลออกไปอีกครั้งหนึ่ง
เวลาที่ใช้ในการรอคอยนั้นเป็นค่าที่สุ่มขึ้นมา ซึ่งมีความสั้นยาวต่างกันไป
เทคนิคหลายอย่างเช่นที่นำมาใช้ในการรอคอยเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันซ้ำสอง
หนึ่งในนั้นคือ คำนวณการเพิ่มระยะเวลารอคอยแบบ Exponential ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Carrier
Sense Multiple Access with Collision Detection (CSMA/CD) เนื่องจากการ์ดอีเทอร์เน็ตที่ใช้ในเครือข่ายแบบนี้สร้างมาจากหลายผู้ผลิต
จึงมีองค์กรมาตรฐานขึ้นมากำหนดหมายเลขประจำให้ผู้ผลิตแต่ละราย
เพื่อสร้างความมั่นใจให้การ์ดแต่ละใบจะไม่มีแอดเดรสที่ซ้ำกัน
การส่งข้อมูลของอีเทอร์เน็ตนั้นจะเป็นไปในแบบเฟรมที่มีความยาวไม่แน่นอน
แม้ว่าเฟรมข้อมูลของอีเทอร์เน็ตจะมีแอดเดรสต้นทางและปลาย
แต่เทคโนโลยีอีเทอร์เน็ตเองกลับเป็นการส่งข้อมูลแบบกระจายสัญญาณ (Broadcast) ซึ่งในเครื่องเครือข่ายเดียวกันจะได้รับเฟรมข้อมูลเดียวกันทุกเฟรม
โดยเลือกเฉพาะเฟรมที่มีแอดเดรสปลายทางเป็นของตนเองเท่านั้น ส่วนเฟรมอื่น ๆ
จะไม่สนใจ แต่ในบางกรณีที่มีการทำงานในโหมด Promiscuous ซึ่งเป็นโหมดที่นำเฟรมข้อมูลทุกเฟรมไปใช้งานโดยส่งต่อไปยังซอฟแวร์ที่ทำงานอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป
เช่น กรณีของเครื่องที่ทำหน้าที่วิเคราะห์โปรโตคอล (Protocal Analyzer) หรืออาจจะเป็นการกระทำของผู้ที่ไม่ประสงค์ดีของพวกแฮกเกอร์ก็ได้
กรณีเช่นนี้จะเห็นถึงความปลอดภัยของมาตรฐานนี้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
http://cptd.chandra.ac.th/selfstud/Network2/6.htm
http://www.paktho.ac.th/computerptk/introcom/FastEthernet.htm
http://www.arpt.moe.go.th/ebook/datacom/unit4/DATA4_5.htm
แบบทดสอบเสริมความเข้าใจ
1.ระบบเครือข่าย1 000 BaseCXความเร็ว 1,000 Mbpsระยะทาง 25 เมตรโคแอ็กเชียล 150 โฮห์มสายสัญญาณ เป็น
โครงสร้างการเชื่อมต่อแบบใด
ก. แบบbus
ข.แบบstar
ค.แบบring
ง.ไม่มีข้อถูก
เฉลย ก เป็นการเชื่อมต่อแบบbusแหล่งที่มา จากตาราง IEEE802.3z
2.มาตราฐาน IEEE802.3u 100 Base TXใช้สาย สัญญาณแบบใด
ก.UTP
Category3หรือ4 โดยใช้สายภายในเพียง 2คู่
ข.UTP
Category3หรือ4โดยใช้คู่สายภายในทั้ง 4คู่
ค.UTP
Category 5โดยใช้สายภายในเพียง 2คู่เท่านั้น
ง. ใช้สายFiber oplie
เฉลย ค UTP Category 5โดยใช้สายภายในเพียง
2คู่เท่า
3.Ethernet
( IEEE802.3 )ใช้บน Topology แบบ BUS และแบบstar ใช้หลักการส่งข้อมูลแบบใด
ก. CSMA/UTP
ข.RSMA
ค. CSMA
ง. CSMA/CD
เฉลย ง. CSMA/CD ใช้บน Topology แบบ BUS
และแบบstar ใช้หลักการส่งข้อมูลแบบ CSMA/CDที่มีความเร็ว 10Mbps หรือ 100 Mbps Fast Ethernet
( IEEE802.3u )
4.ข้อใดคือประโยชน์ของกิกะบิตอีเธอร์เนต
ก.ประสิทธิภาพในการใช้เครือข่ายเพิ่มมากขึ้นทำให้การส่งผ่านข้อมูลข้ามจากเซกเมนต์หนึ่งไปยังเซกเมนต์หนึ่งด้วยความเร็วสูงเพื่อตอบสนองการใช้งาน
ข.โอกาสในการขยายตัวของระบบเครือข่ายทำให้รองรับอนาคตได้อีกยาวไกล
ค.คุ้มค่าในการลงทุนในระยะยาวง.ถูกทุข้อเฉลย
ง.ถูกทุข้อ
เฉลย ข้อ ก.ประสิทธิภาพในการใช้เครือข่ายเพิ่มมากขึ้นทำให้การส่งผ่านข้อมูลข้ามจากเซกเมนต์หนึ่งไปยังเซกเมนต์หนึ่งด้วยความเร็วสูงเพื่อตอบสนองการใช้งาน
5.หลักการพื้นฐานที่สำคัญของ Gigabit Ethernet (IEEE802.3z)
คืออะไร
ก.การปรับแก้ส่วนของ (Physycal Layer)
ข.การปรับแก้ส่วนของ (Network Layer)
ค.การปรับแก้ส่วนของ MAC Layer (Media Access Control Layer)
ง.การปรับแก้ส่วน (data ling Layer)
เฉลย ค.การปรับแก้ส่วนของ MAC Layer (Media Access Control Layer)โดยกลไกที่เรียกว่า Carrier Extension โดยกลไกตัวนี้จะทำการเพิ่มความยาวของเฟรมที่มีขนาดน้อยกว่า
512 ไบต์ โดยจะทำการเพิ่มข้อมูลเข้าไปยังส่วนท้ายของเฟรมเพื่อให้เฟรมข้อมูลนั้นมีขนาดเท่ากับ
512 ไบต์ เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เนื่องมาจากว่าใน Ethernet แบบแรกที่ความเร็ว
10Mbps (IEEE802.3) นั้นได้มีการกำหนดออกแบบเอาไว้
On 01:18 by EForL No comments
=> ระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่าย (Computer Network )
หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่
2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้.....
ระบบเครือข่ายสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ด้วยกันคือ
1. LAN (Local Area Network) .....
แลน หรือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายในพื้นที่ (Local Area Network, LAN) เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ถึงกันทั้งหมดโดยอาศัยสื่อกลาง มีการแบ่งแยกเครือข่ายออกเป็น 2 รูปแบบการเชื่อโยงคือ การเชื่อมโยงภายในพื้นที่ระยะใกล้หรือ แลน (LAN) และการเชื่อมโยงระยะไกลหรือแวน (WAN) โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบแลน มี 5 รูปแบบ คือ....
1. ระบบ Bus การเชื่อมต่อแบบบัสจะมีสายหลัก 1 เส้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอ็นต์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องไคลเอ็นต์เครื่องที่หนึ่ง (Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องที่สอง (Node C) จะต้องส่งข้อมูล และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้ เมื่อเครื่องที่ Node C ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูล ไปทำงานต่อทันที....
2.แบบ Ring การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก เป็นเครื่องข่าย Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิหรือเมนเฟรมของ IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ ....
3.แบบ Star การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า ....
4.แบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสนผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งระบบ Hybrid Network นี้จะมีโครงสร้างแบบ Hierarchical หรือ Tre ที่มีลำดับชั้นในการทำงาน....
5.เครือข่ายแบบไร้สาย ( Wireless LAN)......อีกเครือข่ายที่ใช้เป็นระบบแลน (LAN) ที่ไม่ได้ใช้สายเคเบิลในการเชื่อมต่อ นั่นคือระบบเครือข่ายแบบไร้สาย ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ ในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องของการไม่ต้องใช้สายเคเบิล เหมาะกับการใช้งานที่ไม่สะดวกในการใช้สายเคเบิล โดยไม่ต้องเจาะผนังหรือเพดานเพื่อวางสาย เพราะคลื่นวิทยุมีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางอย่าง กำแพง หรือพนังห้องได้ดี แต่ก็ต้องอยู่ในระยะทำการ หากเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปไกลจากรัศมีก็จะขาดการติดต่อได้ การใช้เครือข่ายแบบไร้สายนี้ สามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊ก และต้องใช้การ์ดแลนแบบไร้สายมาติดตั้ง รวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่า Access Point ซึ่งเป็นอุปกรณ์จ่ายสัญญาณสำหรับระบบเครือข่ายไร้สาย มีหน้าที่รับส่งข้อมูลกับการ์ดแลนแบบไร้สาย
ประโยชน์ของ Lan
1.1 แบ่งการใช้ข้อมูล รวมทั้งการปรับปรุงและจัดการแฟ้มข้อมูลได้ง่าย
1.2 สามารถใช้ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว
1.3 การแบ่งปันการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น Printer, Modemฯลฯ
1.4 การแบ่งปันการใช้โปรแกรมต่าง1.5 ควบคุมและดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย
1.6 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
1.7 เพื่อการติดต่อได้อย่างรวดเร็ว
2. MAN (Metropolitan Area Network).....
ระบบเครือข่ายเมือง เป็นเน็ตเวิร์กที่จะต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นการติดต่อกันในเมือง เช่น เครื่องเวิร์กสเตชั่นอยู่ที่สุขุมวิท มีการติดต่อสื่อสารกับเครื่องเวิร์กสเตชั่นที่บางรัก
3. WAN (Wide Area Network).....ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก โดยจะเป็นการสื่อสารในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลก จะต้องใช้มีเดีย(Media) ในการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย (คู่สายโทรศัพท์ dial-up / คู่สายเช่า Leased line / ISDN) (lntegrated Service Digital Network สามารถส่งได้ทั้งข้อมูล เสียง และภาพในเวลาเดียวกัน
แหล่งศึกษา
1.http://www.radompon.com/computerproject/Web2006/Network/mainpage.htm
2.http://www.bcoms.net/network/intro.asp
3.http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ngekky&month=01-2008&date=20&group=1&gblog=33
แบบทดสอบ
1. โครงสร้างของระบบเครือข่ายทั้งหมดมีกี่แบบ
a. 2 แบบ
b. 3 แบบ
c. 4แบบ
d. 5แบบ
3.ระบบเครือข่ายโดยทั่วไปมีกี่แบบ อะไรบ้าง
a. 3 แบบ LAN ,MAN ,NAN
b. 3 แบบ WAN ,LAN ,MAN
c. 3 แบบ LAN ,MAN,CAN
c.ไม่มีข้อถูก
3.Local Area Network (LAN) เป็นการเชื่อมแบบใดต่อไปนี้
ก.เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดเล็ก ในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก
ข.เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN
ค.เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าแบบ MAN
หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่
2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้.....
ระบบเครือข่ายสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ด้วยกันคือ
1. LAN (Local Area Network) .....
แลน หรือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายในพื้นที่ (Local Area Network, LAN) เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ถึงกันทั้งหมดโดยอาศัยสื่อกลาง มีการแบ่งแยกเครือข่ายออกเป็น 2 รูปแบบการเชื่อโยงคือ การเชื่อมโยงภายในพื้นที่ระยะใกล้หรือ แลน (LAN) และการเชื่อมโยงระยะไกลหรือแวน (WAN) โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบแลน มี 5 รูปแบบ คือ....
1. ระบบ Bus การเชื่อมต่อแบบบัสจะมีสายหลัก 1 เส้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอ็นต์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องไคลเอ็นต์เครื่องที่หนึ่ง (Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องที่สอง (Node C) จะต้องส่งข้อมูล และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้ เมื่อเครื่องที่ Node C ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูล ไปทำงานต่อทันที....
2.แบบ Ring การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก เป็นเครื่องข่าย Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิหรือเมนเฟรมของ IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ ....
3.แบบ Star การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป้น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า ....
4.แบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสนผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งระบบ Hybrid Network นี้จะมีโครงสร้างแบบ Hierarchical หรือ Tre ที่มีลำดับชั้นในการทำงาน....
5.เครือข่ายแบบไร้สาย ( Wireless LAN)......อีกเครือข่ายที่ใช้เป็นระบบแลน (LAN) ที่ไม่ได้ใช้สายเคเบิลในการเชื่อมต่อ นั่นคือระบบเครือข่ายแบบไร้สาย ทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ ในการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องของการไม่ต้องใช้สายเคเบิล เหมาะกับการใช้งานที่ไม่สะดวกในการใช้สายเคเบิล โดยไม่ต้องเจาะผนังหรือเพดานเพื่อวางสาย เพราะคลื่นวิทยุมีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางอย่าง กำแพง หรือพนังห้องได้ดี แต่ก็ต้องอยู่ในระยะทำการ หากเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปไกลจากรัศมีก็จะขาดการติดต่อได้ การใช้เครือข่ายแบบไร้สายนี้ สามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊ก และต้องใช้การ์ดแลนแบบไร้สายมาติดตั้ง รวมถึงอุปกรณ์ที่เรียกว่า Access Point ซึ่งเป็นอุปกรณ์จ่ายสัญญาณสำหรับระบบเครือข่ายไร้สาย มีหน้าที่รับส่งข้อมูลกับการ์ดแลนแบบไร้สาย
ประโยชน์ของ Lan
1.1 แบ่งการใช้ข้อมูล รวมทั้งการปรับปรุงและจัดการแฟ้มข้อมูลได้ง่าย
1.2 สามารถใช้ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว
1.3 การแบ่งปันการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น Printer, Modemฯลฯ
1.4 การแบ่งปันการใช้โปรแกรมต่าง1.5 ควบคุมและดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย
1.6 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
1.7 เพื่อการติดต่อได้อย่างรวดเร็ว
2. MAN (Metropolitan Area Network).....
ระบบเครือข่ายเมือง เป็นเน็ตเวิร์กที่จะต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นการติดต่อกันในเมือง เช่น เครื่องเวิร์กสเตชั่นอยู่ที่สุขุมวิท มีการติดต่อสื่อสารกับเครื่องเวิร์กสเตชั่นที่บางรัก
3. WAN (Wide Area Network).....ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก โดยจะเป็นการสื่อสารในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลก จะต้องใช้มีเดีย(Media) ในการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย (คู่สายโทรศัพท์ dial-up / คู่สายเช่า Leased line / ISDN) (lntegrated Service Digital Network สามารถส่งได้ทั้งข้อมูล เสียง และภาพในเวลาเดียวกัน
แหล่งศึกษา
1.http://www.radompon.com/computerproject/Web2006/Network/mainpage.htm
2.http://www.bcoms.net/network/intro.asp
3.http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ngekky&month=01-2008&date=20&group=1&gblog=33
แบบทดสอบ
1. โครงสร้างของระบบเครือข่ายทั้งหมดมีกี่แบบ
a. 2 แบบ
b. 3 แบบ
c. 4แบบ
d. 5แบบ
3.ระบบเครือข่ายโดยทั่วไปมีกี่แบบ อะไรบ้าง
a. 3 แบบ LAN ,MAN ,NAN
b. 3 แบบ WAN ,LAN ,MAN
c. 3 แบบ LAN ,MAN,CAN
c.ไม่มีข้อถูก
3.Local Area Network (LAN) เป็นการเชื่อมแบบใดต่อไปนี้
ก.เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดเล็ก ในพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก
ข.เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN
ค.เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าแบบ MAN
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552
On 21:26 by EForL No comments
รูปแบบของการเชื่อมโยงเครือข่าย หรือโทโปโลยี (LAN Topology)โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของระบบเครือข่าย ซึ่งหมายถึง ลักษณะของการเชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเครือข่ายด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่าย LAN แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งาน แตกต่างกันออกไป การนำไปใช้จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำการศึกษาลักษณะและคุณสมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครือข่าย ให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบของโทโปโลยี ของเครือข่ายหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้1.โทโปโลยีแบบบัส (BUS) เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลัก ที่เรียกว่า BUS หรือ แบ็คโบน (Backbone) คือ สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก ใช้เป็นทางเดินข้อมูลของทุกเครื่องภายในระบบเครือข่าย และจะมีสายแยกย่อยออกไปในแต่ละจุด เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ซึ่งเรียกว่าโหนด (Node) ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบไปด้วยข้อมูลของผู้ส่ง, ผู้รับ และข้อมูลที่จะส่ง การสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของ บัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัส จะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ลบล้างสัญญาณที่ส่งมาถึง เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เพื่อเป็นการป้องกันการชนกันของข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัสในขณะนั้นสัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่งเมื่อเข้าสู่บัส ข้อมูลจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่า ตำแหน่งปลายทางที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้นตรงกับตำแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าตรง ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนด ตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็นว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่จะรับข้อมูลนั้นไปได้ข้อดี- ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการวางสายสัญญาณมากนัก สามารถขยายระบบได้ง่าย เสียค่าใช้จ่ายน้อย ซึ่งถือว่าระบบบัสนี้เป็นแบบโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อนมากนักข้อเสีย- อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่อยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ดังนั้นหากมี สัญญาณขาดที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้เครื่องบางเครื่อง หรือทั้งหมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วย- การตรวจหาโหนดเสีย ทำได้ยาก เนื่องจากขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อความ ออกมาบนสายสัญญาณ ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดการคับคั่งของเน็ตเวิร์ค ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้2.โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING) เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้บริการ( Server) และ เครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจำแต่ละเครื่อง 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัวของแพ็กเกจที่ส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไปข้อดี- ผู้ส่งสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้หลาย ๆ เครื่องพร้อม ๆ กัน โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลงในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล Repeaterของแต่ละเครื่องจะทำการตรวจสอบเองว่า ข้อมูลที่ส่งมาให้นั้น เป็นตนเองหรือไม่- การส่งผ่านข้อมูลในเครือข่ายแบบ RING จะเป็นไปในทิศทางเดียวจากเครื่องสู่เครื่อง จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณ ข้อมูลที่ส่งออกไป- คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเน็ตเวิร์กมีโอกาสที่จะส่งข้อมูลได้อย่างทัดเทียมกันข้อเสีย- ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเครื่องต่อ ๆ ไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่าย หยุดชะงักได้- ขณะที่ข้อมูลถูกส่งผ่านแต่ละเครื่อง เวลาส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปกับการที่ทุก ๆ Repeater จะต้องทำการตรวจสอบตำแหน่งปลายทางของข้อมูลนั้น ๆ ทุก ข้อมูลที่ส่งผ่านมาถึง3.โทโปโลยีแบบดาว (STAR) เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือเครื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาญที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทั้งหมด เมื่อมีเครื่องที่ต้องการส่งข้อมูลไปยังเครื่องอื่น ๆ ที่ต้องการในเครือข่าย เครื่องนั้นก็จะต้องส่งข้อมูลมายัง HUB หรือเครื่องศูนย์กลางก่อน แล้ว HUB ก็จะทำหน้าที่กระจายข้อมูลนั้นไปในเครือข่ายต่อไปข้อดี- การติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำ ได้ง่าย หากมีเครื่องใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์ กลางสามารถตัดเครื่องที่เสียหายนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้เลย โดยไม่มีผลกระทบกับระบบเครือข่ายข้อเสีย- เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งในด้านของเครื่องที่จะใช้เป็น เครื่องศูนย์กลาง หรือตัว HUB เอง และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายเคเบิลในเครื่องอื่น ๆ ทุกเครื่อง การขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นทำได้ยาก เพราะการขยายแต่ละครั้ง จะต้องเกี่ยวเนื่องกับเครื่องอื่นๆ ทั้งระบบ4.โทโปโลยีแบบ Hybrid เป็นรูปแบบใหม่ ที่เกิดจากการผสมผสานกันของโทโปโลยีแบบ STAR , BUS , RING เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการลดข้อเสียของรูปแบบที่กล่าวมา และเพิ่มข้อดี ขึ้นมา มักจะนำมาใช้กับระบบ WAN (Wide Area Network) มาก ซึ่งการเชื่อมต่อกันของแต่ละรูปแบบนั้น ต้องใช้ตัวเชื่อมสัญญาญเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ตัวนั้นก็คือ Router เป็นตัวเชื่อมการติดต่อกัน5.โทโปโลยีแบบ MESH เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เป็นรูปแบบที่ใช้วิธีการเดินสายของแต่เครื่อง ไปเชื่อมการติดต่อกับทุกเครื่องในระบบเครือข่าย คือเครื่องทุกเครื่องในระบบเครือข่ายนี้ ต้องมีสายไปเชื่อมกับทุก ๆ เครื่อง ระบบนี้ยากต่อการเดินสายและมีราคาแพง จึงมีค่อยมีผู้นิยมมากนักURLhttp://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htmhttp://www.yupparaj.ac.th/CAI/LAN/index.htmhttp://hitech.sanook.com/computer/news_07813.phphttp://library.utcc.ac.th/thaipul/contents/netword_system.pdfแบบทดสอบ1.รูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลักเป็นโทโปโลยีแบบใดก.แบบ busข.แบบ ringค.แบบ starง.แบบMESHเฉลย ก bus โดยเป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกเชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลัก ที่เรียกว่า BUS หรือ แบ็คโบน (Backbone) คือ สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก ใช้เป็นทางเดินข้อมูลของทุกเครื่องภายในระบบเครือข่ายแหล่งที่มา ย่อหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 1ของ http://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm2. การสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบกี่ทิศทางก.แบบ 2 ทิศทางข.แบบ 3 ทิศทางค.แบบ 4 ทิศทางง.แบบ 5 ทิศทางเฉลย ก 2 ทิศทางคือการสื่อสารภายในสายบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของ บัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัส จะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ลบล้างสัญญาณที่ส่งมาถึง เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เพื่อเป็นการป้องกันการชนกันของข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัสในขณะนั้นแหล่งที่มา ย่อหน้าที่ 2 บรรทัดที่ 2 ของhttp://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm3.ข้อใดคือข้อเสียของโทโปโลยีแบบ ringก. อาจเกิดข้อผิดพลาดง่าย เนื่องจากทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่อยู่บนสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว ดังนั้นหากมี สัญญาณขาดที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ก็จะทำให้เครื่องบางเครื่อง หรือทั้งหมดในระบบไม่สามารถใช้งานได้ตามไปด้วยข. การตรวจหาโหนดเสีย ทำได้ยาก เนื่องจากขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อความ ออกมาบนสายสัญญาณ ดังนั้นถ้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากๆ อาจทำให้เกิดการคับคั่งของเน็ตเวิร์ค ซึ่งจะทำให้ระบบช้าลงได้ค. ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเครื่องต่อ ๆ ไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่าย หยุดชะงักได้ง. การติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำ ได้ง่าย หากมีเครื่องใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์ กลางสามารถตัดเครื่องที่เสียหายนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้เลย โดยไม่มีผลกระทบกับระบบเครือข่ายเฉลย ค ถ้ามีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังเครื่องต่อ ๆ ไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่าย หยุดชะงักแหล่งที่มา หัวข้อที่ 2 ring ข้อเสีย จากhttp://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm4.โทโปโลยีแบบดาว (STAR) เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่าอะไรก.โหนดข.เทอร์มิเนเตอร์ค.รีพีตเตอร์ง. ฮับเฉลย ง. ฮับ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหนึ่งที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือเครื่อง ๆ หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาญที่มาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทั้งหมดแหล่งที่มา หัวข้อที่3 star บรรทัดที่1http://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm5.ข้อใดเป็นรูปแบบของโทโปโลยีแบบ MESHก.เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้บริการ( Server) และ เครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมข.เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุดและใช้วิธีการเดินสายของแต่เครื่อง ไปเชื่อมการติดต่อกับทุกเครื่องในระบบเครือข่ายค.เป็นรูปแบบใหม่ ที่เกิดจากการผสมผสานกันของโทโปโลยีแบบ STAR , BUS , RING เข้าด้วยกันง.เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่ายเฉลย ข.เป็นรูปแบบที่ถือว่า สามารถป้องกันการผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เป็นรูปแบบที่ใช้วิธีการเดินสายของแต่เครื่อง ไปเชื่อมการติดต่อกับทุกเครื่องในระบบเครือข่ายแหล่งที่มา หัวข้อที่5 mesh บรรทัดที่1http://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm
On 20:58 by EForL No comments
1.องค์ประกอบขั้นพื้นฐานของระบบสื่อสารโทรคมนาคม สามารถจำแนกออกเป็นส่วน
ก.3 ข.4ค.5 ง.6
ตอบ ง.6 มีดังนี้คือ
1.ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกำเนิดข่าวสาร (Source) อาจจะเป็นสัญญาณต่าง ๆ เช่น สัญญาณภาพข้อมูล และเสียงเป็นต้น ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใช้แสงไฟ ควันไฟ หรือท่าทางต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นแหล่งกำเนิดข่าวสาร จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน
2.ผู้รับข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร (Destination) ซึ่งจะรับรู้จากสิ่งที่ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกำเนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใดที่ การติดต่อสื่อสารบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสารก็จะได้รับข่าวสารนั้น ๆ ถ้าผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางไม่ได้รับข่าวสาร ก็แสดงว่าการสื่อสารนั้นไม่ประสบความสำเร็จ กล่าวคือไม่มีการสื่อสารเกิดขึ้นนั่นเอง
3.ช่องสัญญาณ (Channel) ในที่นี้อาจจะหมายถึงสื่อกลางหรือตัวกลางที่ข่าวสารเดินทางผ่าน อาจจะเป็นอากาศ สายนำสัญญาณต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งของเหลว เช่น น้ำ น้ำมัน เป็นต้น เปรียบเสมือนเป็นสะพานที่จะให้ข่าวสารข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
4.การเข้ารหัส (Encoding) เป็นการช่วยให้ผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารมีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย จึงมีความจำเป็นต้องแปลงความหมายนี้ การเข้ารหัสจึงหมายถึงการแปลงข่าวสารให้อยู่ในรูปพลังงานที่พร้อมจะส่งไปในสื่อกลาง ทางผู้ส่งมีความเข้าใจต้องตรงกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ หรือมีรหัสเดียวกัน การสื่อสารจึงเกิดขึ้นได้
5.การถอดรหัส (Decoding) หมายถึงการที่ผู้รับข่าวสารแปลงพลังงานจากสื่อกลางให้กลับไปอยู่ในรูปข่าวสารที่ส่งมาจากผู้ส่งข่าวสาร โดยมีความเข้าในหรือรหัสตรงกัน
6.สัญญาณรบกวน (Noise) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ มักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านผู้ส่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะสมมติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาด ตำแหน่งที่ใช้วิเคราะห์มักจะเป็นที่ตัวกลางหรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผู้รับข่าวสาร ในทางปฎิบัติมักจะใช้วงจรกรอง (Filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทาง เพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อยดำเนินการ เช่น การเข้ารหัสแหล่งข้อมูล เป็นต้นแหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/index.htm
2.สัญญาณที่ใช้ในระบบสื่อสารแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท
ก.1
ข.2
ค.3
ง.4
ตอบ ข. คือสัญญาณอะนาลอกและสัญญาณดิจิตอล
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/2.htm
3. การส่งสัญญาณข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ การส่งแบบขนานและแบบอนุกรมการส่งแบบขนานจะมีลักษณะการส่งแบบใด
ก.ข้อมูลจะถูกส่งออก ไปทีละบิตต่อเนื่องกันไป
ข.จะส่งข้อมูลแบบวงกลม
ค.ทำการส่งข้อมูลทีละหลาย ๆ บิต
ง.ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. เพราะการส่งแบบขนานนั้นจะทำการส่งข้อมูลทีละหลาย ๆ บิต เช่น ส่ง 10011110 ทั้ง 8 บิต ออกไปพร้อมกันโดยผ่านสายส่งข้อมูลที่มี 8 เส้น ส่วนการส่งข้อมูลแบบอนุกรม ข้อมูลจะถูกส่งออก ไปทีละบิตต่อเนื่องกันไป เช่นถ้าข้อมูลคือ 10011110 เลข 0ทางขวามือสุดเป็นบิตที่ 1 เรียงลำดับไปจนครบ 8 บิต โดยการส่งนั้นจะใช้สายส่งเส้นเดียวเท่านั้น
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/2.htm
4. Physical Layer เป็น layer ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไร
ก.ทำหน้าที่ส่ง-รับข้อมูลจริง ๆ จากช่องทางการสื่อสาร
ข.ออกแบบหรือกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งผ่าน ข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง
ค.เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ
ง.ควบคุมความผิดพลาดในข้อมูล
ตอบ ก เพราะ Physical Layer เป็นชั้นล่างสุดของการติดต่อสื่อสาร ทำหน้าที่ส่ง-รับข้อมูลจริง ๆ จากช่องทางการสื่อสาร (สื่อกลาง) ระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ มาตรฐานสำหรับเลเยอร์ชั้นนี้จะกำหนดว่าแต่ละคอนเนคเตอร์ (Connector) เช่น RS-232C มีกี่พิน (Pin) แต่ละพินทำหน้าที่อะไรบ้าง ใช้สัญญาณไฟกี่โวลต์ เทคนิคการมัลติเพล็กซ์แบบต่าง ๆ ก็จะถูกกำหนดอยู่ในเลเยอร์ชั้นนี้http://www.angelfire.com/bug/pantha/3.htm
5.จุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตรฐานรูปแบบ OSIคือข้อใด
ก.กำหนดอินเตอร์เฟซมาตรฐาน
ข.กำหนดหน้าที่การทำงานเฉพาะง่าย ๆ
ค.ให้มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลในแต่ละเลเยอร์
ง.กำหนดการแบ่งโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายออกเป็นเลเยอร์ ๆ
ตอบ ง. เพราะ เพื่อเป็นการกำหนดการแบ่งโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายออกเป็นเลเยอร์ ๆ และกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละเลเยอร์ รวมถึงกำหนดรูปแบบการอินเตอร์เฟซระหว่างเลเยอร์ด้วย
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/3.htm
6.อุปกรณ์การสื่อสารมีดังต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด
ก. sinc character
ข.หน่วยควบคุมการแยกสัญญาณ (Cluster Control Unit)
ค.มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer)
ง.ฟร้อนท์เอ็นด์ (Front-end Processor)
จ.โมเด็ม (Modem)
ตอบ ก. เพราะอุปกรณ์การสื่อสารโมเด็ม (Modem)ฟร้อนท์เอ็นด์ (Front-end Processor)มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer)หน่วยควบคุมการแยกสัญญาณ (Cluster Control Unit)แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/5.htm7.มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer) มีการทำงานอย่างไรก.รับสัญญาณข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลจากแหล่งต้นทางต่างๆ ซึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังปลายทางในที่ต่างๆกันข.ทำหน้าที่เชื่อมต่อโฮสต์คอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลค.ทำหน้าที่ มอดูเลตและดีมอดูเลต กล่าวคือแปลงสัญญาณกลับไปกลับมาระหว่างสัญญาณอานะลอกกับสัญญาณดิจิตอลง.ควบคุมความผิดพลาดในข้อมูลตอบ ก คือ การทำงานของมัลติเพล็กเซอร์ มัลติเพล็กเซอร์จะรับสัญญาณข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลจากแหล่งต้นทางต่างๆ ซึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังปลายทางในที่ต่างๆกัน ดังนั้นสัญญาณข้อมูลต่างๆเมื่อผ่านมัลติเพล็กซ์เซอร์ มัลติเพล็กซ์เซอร์ก็จะเรียงรวม(มัลติเพล็กซ์)กันอยู่ในสายส่งข้อมูลเพียงสายเดียว และเมื่อสัญญาณข้อมูลทั้งหมดมา ถึงเครื่องมัลติเพล็กซ์เซอร์ชึ่งเรียกว่า อุปกรณ์ดีมัลติเพล็กซ์เซอร์อีกเครื่องหนึ่งทางปลายทาง สัญญาณทั้งหมดก็จะถูกแยก (ดีมัลติเพล็กซ์) ออกจากกันไปตามเครื่องรับปลายทางของแต่ละช่องทางสายส่งข้อมูลที่ใช้ในการส่งข้อมูลจะต้องมีความจุสูง จึงจะสามารถรองรับปริมาณข้อมูลจำนวนมากที่ถูกส่งผ่านมาพร้อมๆกันได้ สายส่งข้อมูลดังกล่าว ได้แก่ สายโคเอก สายไฟเบอร์ออปติก คลื่นไมโครเวฟ และคลื่นดาวเทียม
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/5.htm
8.ประเภทของช่องทางการสื่อสารข้อมูลแบ่งได้เป็นกี่ประเภท
ก.1
ข.2
ค.3
ง.4
ตอบ 3 คือแบบซิมเพล็กซ์ (Simplex) เป็นการติดต่อทางเดียว เมื่ออุปกรณ์หนึ่งส่งข้อมูล อุปกรณ์อีกชุดจะต้องเป็นฝ่ายรับข้อมูลเสมอ ตัวอย่างการใช้งานเช่น ในระบบสนามบิน คอมพิวเตอร์แม่จะทำหน้าที่ติดตามเวลาขึ้นและลงของเครื่องบิน และส่งผลไปให้มอนิเตอร์ที่วางอยู่หลาย ๆ จุดให้ผู้โดยสารได้ทราบข่าวสาร คอมพิวเตอร์แม่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข้อมูล มอนิเตอร์ต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้รับข้อมูล ไม่มีการเปลี่ยนทิศทางของข้อมูล เป็นการส่งข้อมูลแบบทางเดียวแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex) เป็นการติดต่อกึ่งสองทาง เป็นการเปลี่ยนเส้นทางในการส่งข้อมูลได้ แต่คนละเวลากล่าวคือ ข้อมูลจะไหลไปในทิศทางเดียว ณ เวลาใด ๆ ตัวอย่างการใช้งานเช่น การติดต่อระหว่าง เทอร์มินัลกับคอมพิวเตอร์แม่ ผู้ใช้ที่เทอร์มินัลเคาะแป้นเพื่อสอบถามข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์แม่ ต้องใช้เวลาชั่วขณะคอมพิวเตอร์แม่จึงจะส่งข่าวสารกลับมาที่เทอร์มินัลนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทอร์มินัลนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทอร์มินัลหรือคอมพิวเตอร์แม่ เมื่ออุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเป็นผู้ส่งข้อมูล อุปกรณ์ที่เหลือก็จะเป็นผู้รับข้อมูลในเวลาขณะนั้นแบบฟูลล์ดูเพล็กซ์ (Full Duplex) เป็นการติดต่อสองทาง เป็นติดต่อกันได้สองทาง กล่าวคือเป็นผู้รับข้อมูลและผู้ส่งข้อมูล ในเวลาเดียวกันได้ ตัวอย่างการใช้งานเช่น การติดต่อระหว่างเทอร์มินัลกับคอมพิวเตอร์แม่ บางชนิดที่ไม่ต้องใช้เวลารอสามารถโต้ตอบได้ทันที หรือการพูดคุยทางโทรศัพท์ เป็นต้น
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/4.htm9.ข้อใดคือtopologyแบบringก.เชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลักข.เชื่อมต่อกันเป็นวงกลมค.เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่ายง.เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันตอบข.เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้บริการ( Server) และ เครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจำแต่ละเครื่อง 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัวของแพ็กเกจที่ส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไป
แหล่งที่มา http://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm
10.ระบบเครือข่ายใดที่มีการเชื่อมต่อในระดับจังหวัด
ก.lan
ข.man
ค.wan
ง.ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. เพราะ ระบบ LAN มีขอบเขตการทำงานแคบ มักอยู่ในอาคาร ออฟฟิศ สำนักงาน หรือหลายอาคารที่อยู่ติดกัน ไม่เกิน 2,000 ฟุตระบบเครือข่ายmanในเขตเมือง (Metropolitan Area Network) มีลักษณะคล้ายกับระบบ LAN แต่มีอาณาเขตที่ไกลกว่าในระดับเขตเมืองเดียวกัน หรือหลายเมืองที่อยู่ติดกันก็ได้ ซึ่งอาจเป็นการให้บริการของเอกชนหรือรัฐระบบเครือข่ายวงกว้าง (WAN)เป็นระบบที่มีขอบเขตการใช้งานกว้างกว่า ไกลกว่าระบบแลน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ไร้ขอบเขตแล้ว เช่นระบบการสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ แต่การที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีระยะห่างกันมากๆให้เป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายสาธารณะ (Public Networks) ที่ให้บริการการสื่อสาร โดยเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม ผ่าน เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ (Public Switching Telephone Network ; PSTN) ซึ่งมีทั้งลักษณะต่อโมเด็มแบบที่ต้องมีการติดต่อก่อน (Dial-up) หรือต่อตายตัวแบบสายเช่า (Lease Line
ก.3 ข.4ค.5 ง.6
ตอบ ง.6 มีดังนี้คือ
1.ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกำเนิดข่าวสาร (Source) อาจจะเป็นสัญญาณต่าง ๆ เช่น สัญญาณภาพข้อมูล และเสียงเป็นต้น ในการติดต่อสื่อสารสมัยก่อนอาจจะใช้แสงไฟ ควันไฟ หรือท่าทางต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นแหล่งกำเนิดข่าวสาร จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน
2.ผู้รับข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร (Destination) ซึ่งจะรับรู้จากสิ่งที่ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกำเนิดข่าวสารส่งผ่านมาให้ตราบใดที่ การติดต่อสื่อสารบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสารก็จะได้รับข่าวสารนั้น ๆ ถ้าผู้รับสารหรือจุดหมายปลายทางไม่ได้รับข่าวสาร ก็แสดงว่าการสื่อสารนั้นไม่ประสบความสำเร็จ กล่าวคือไม่มีการสื่อสารเกิดขึ้นนั่นเอง
3.ช่องสัญญาณ (Channel) ในที่นี้อาจจะหมายถึงสื่อกลางหรือตัวกลางที่ข่าวสารเดินทางผ่าน อาจจะเป็นอากาศ สายนำสัญญาณต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งของเหลว เช่น น้ำ น้ำมัน เป็นต้น เปรียบเสมือนเป็นสะพานที่จะให้ข่าวสารข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
4.การเข้ารหัส (Encoding) เป็นการช่วยให้ผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารมีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย จึงมีความจำเป็นต้องแปลงความหมายนี้ การเข้ารหัสจึงหมายถึงการแปลงข่าวสารให้อยู่ในรูปพลังงานที่พร้อมจะส่งไปในสื่อกลาง ทางผู้ส่งมีความเข้าใจต้องตรงกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ หรือมีรหัสเดียวกัน การสื่อสารจึงเกิดขึ้นได้
5.การถอดรหัส (Decoding) หมายถึงการที่ผู้รับข่าวสารแปลงพลังงานจากสื่อกลางให้กลับไปอยู่ในรูปข่าวสารที่ส่งมาจากผู้ส่งข่าวสาร โดยมีความเข้าในหรือรหัสตรงกัน
6.สัญญาณรบกวน (Noise) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ มักจะลดทอนหรือรบกวนระบบ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งทางด้านผู้ส่งข่าวสาร ผู้รับข่าวสาร และช่องสัญญาณ แต่ในการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะสมมติให้ทางด้านผู้ส่งข่าวสารและผู้รับข่าวสารไม่มีความผิดพลาด ตำแหน่งที่ใช้วิเคราะห์มักจะเป็นที่ตัวกลางหรือช่องสัญญาณ เมื่อไรที่รวมสัญญาณรบกวนด้านผู้ส่งข่าวสารและด้านผู้รับข่าวสาร ในทางปฎิบัติมักจะใช้วงจรกรอง (Filter) กรองสัญญาณแต่ต้นทาง เพื่อให้การสื่อสารมีคุณภาพดียิ่งขึ้นแล้วค่อยดำเนินการ เช่น การเข้ารหัสแหล่งข้อมูล เป็นต้นแหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/index.htm
2.สัญญาณที่ใช้ในระบบสื่อสารแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท
ก.1
ข.2
ค.3
ง.4
ตอบ ข. คือสัญญาณอะนาลอกและสัญญาณดิจิตอล
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/2.htm
3. การส่งสัญญาณข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ การส่งแบบขนานและแบบอนุกรมการส่งแบบขนานจะมีลักษณะการส่งแบบใด
ก.ข้อมูลจะถูกส่งออก ไปทีละบิตต่อเนื่องกันไป
ข.จะส่งข้อมูลแบบวงกลม
ค.ทำการส่งข้อมูลทีละหลาย ๆ บิต
ง.ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. เพราะการส่งแบบขนานนั้นจะทำการส่งข้อมูลทีละหลาย ๆ บิต เช่น ส่ง 10011110 ทั้ง 8 บิต ออกไปพร้อมกันโดยผ่านสายส่งข้อมูลที่มี 8 เส้น ส่วนการส่งข้อมูลแบบอนุกรม ข้อมูลจะถูกส่งออก ไปทีละบิตต่อเนื่องกันไป เช่นถ้าข้อมูลคือ 10011110 เลข 0ทางขวามือสุดเป็นบิตที่ 1 เรียงลำดับไปจนครบ 8 บิต โดยการส่งนั้นจะใช้สายส่งเส้นเดียวเท่านั้น
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/2.htm
4. Physical Layer เป็น layer ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไร
ก.ทำหน้าที่ส่ง-รับข้อมูลจริง ๆ จากช่องทางการสื่อสาร
ข.ออกแบบหรือกำหนดเส้นทางการเดินทางของข้อมูลที่ส่ง-รับในการส่งผ่าน ข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง
ค.เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ
ง.ควบคุมความผิดพลาดในข้อมูล
ตอบ ก เพราะ Physical Layer เป็นชั้นล่างสุดของการติดต่อสื่อสาร ทำหน้าที่ส่ง-รับข้อมูลจริง ๆ จากช่องทางการสื่อสาร (สื่อกลาง) ระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ มาตรฐานสำหรับเลเยอร์ชั้นนี้จะกำหนดว่าแต่ละคอนเนคเตอร์ (Connector) เช่น RS-232C มีกี่พิน (Pin) แต่ละพินทำหน้าที่อะไรบ้าง ใช้สัญญาณไฟกี่โวลต์ เทคนิคการมัลติเพล็กซ์แบบต่าง ๆ ก็จะถูกกำหนดอยู่ในเลเยอร์ชั้นนี้http://www.angelfire.com/bug/pantha/3.htm
5.จุดมุ่งหมายของการกำหนดมาตรฐานรูปแบบ OSIคือข้อใด
ก.กำหนดอินเตอร์เฟซมาตรฐาน
ข.กำหนดหน้าที่การทำงานเฉพาะง่าย ๆ
ค.ให้มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลในแต่ละเลเยอร์
ง.กำหนดการแบ่งโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายออกเป็นเลเยอร์ ๆ
ตอบ ง. เพราะ เพื่อเป็นการกำหนดการแบ่งโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายออกเป็นเลเยอร์ ๆ และกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละเลเยอร์ รวมถึงกำหนดรูปแบบการอินเตอร์เฟซระหว่างเลเยอร์ด้วย
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/3.htm
6.อุปกรณ์การสื่อสารมีดังต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด
ก. sinc character
ข.หน่วยควบคุมการแยกสัญญาณ (Cluster Control Unit)
ค.มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer)
ง.ฟร้อนท์เอ็นด์ (Front-end Processor)
จ.โมเด็ม (Modem)
ตอบ ก. เพราะอุปกรณ์การสื่อสารโมเด็ม (Modem)ฟร้อนท์เอ็นด์ (Front-end Processor)มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer)หน่วยควบคุมการแยกสัญญาณ (Cluster Control Unit)แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/5.htm7.มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer) มีการทำงานอย่างไรก.รับสัญญาณข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลจากแหล่งต้นทางต่างๆ ซึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังปลายทางในที่ต่างๆกันข.ทำหน้าที่เชื่อมต่อโฮสต์คอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลค.ทำหน้าที่ มอดูเลตและดีมอดูเลต กล่าวคือแปลงสัญญาณกลับไปกลับมาระหว่างสัญญาณอานะลอกกับสัญญาณดิจิตอลง.ควบคุมความผิดพลาดในข้อมูลตอบ ก คือ การทำงานของมัลติเพล็กเซอร์ มัลติเพล็กเซอร์จะรับสัญญาณข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลจากแหล่งต้นทางต่างๆ ซึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังปลายทางในที่ต่างๆกัน ดังนั้นสัญญาณข้อมูลต่างๆเมื่อผ่านมัลติเพล็กซ์เซอร์ มัลติเพล็กซ์เซอร์ก็จะเรียงรวม(มัลติเพล็กซ์)กันอยู่ในสายส่งข้อมูลเพียงสายเดียว และเมื่อสัญญาณข้อมูลทั้งหมดมา ถึงเครื่องมัลติเพล็กซ์เซอร์ชึ่งเรียกว่า อุปกรณ์ดีมัลติเพล็กซ์เซอร์อีกเครื่องหนึ่งทางปลายทาง สัญญาณทั้งหมดก็จะถูกแยก (ดีมัลติเพล็กซ์) ออกจากกันไปตามเครื่องรับปลายทางของแต่ละช่องทางสายส่งข้อมูลที่ใช้ในการส่งข้อมูลจะต้องมีความจุสูง จึงจะสามารถรองรับปริมาณข้อมูลจำนวนมากที่ถูกส่งผ่านมาพร้อมๆกันได้ สายส่งข้อมูลดังกล่าว ได้แก่ สายโคเอก สายไฟเบอร์ออปติก คลื่นไมโครเวฟ และคลื่นดาวเทียม
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/5.htm
8.ประเภทของช่องทางการสื่อสารข้อมูลแบ่งได้เป็นกี่ประเภท
ก.1
ข.2
ค.3
ง.4
ตอบ 3 คือแบบซิมเพล็กซ์ (Simplex) เป็นการติดต่อทางเดียว เมื่ออุปกรณ์หนึ่งส่งข้อมูล อุปกรณ์อีกชุดจะต้องเป็นฝ่ายรับข้อมูลเสมอ ตัวอย่างการใช้งานเช่น ในระบบสนามบิน คอมพิวเตอร์แม่จะทำหน้าที่ติดตามเวลาขึ้นและลงของเครื่องบิน และส่งผลไปให้มอนิเตอร์ที่วางอยู่หลาย ๆ จุดให้ผู้โดยสารได้ทราบข่าวสาร คอมพิวเตอร์แม่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข้อมูล มอนิเตอร์ต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้รับข้อมูล ไม่มีการเปลี่ยนทิศทางของข้อมูล เป็นการส่งข้อมูลแบบทางเดียวแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex) เป็นการติดต่อกึ่งสองทาง เป็นการเปลี่ยนเส้นทางในการส่งข้อมูลได้ แต่คนละเวลากล่าวคือ ข้อมูลจะไหลไปในทิศทางเดียว ณ เวลาใด ๆ ตัวอย่างการใช้งานเช่น การติดต่อระหว่าง เทอร์มินัลกับคอมพิวเตอร์แม่ ผู้ใช้ที่เทอร์มินัลเคาะแป้นเพื่อสอบถามข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์แม่ ต้องใช้เวลาชั่วขณะคอมพิวเตอร์แม่จึงจะส่งข่าวสารกลับมาที่เทอร์มินัลนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทอร์มินัลนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทอร์มินัลหรือคอมพิวเตอร์แม่ เมื่ออุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเป็นผู้ส่งข้อมูล อุปกรณ์ที่เหลือก็จะเป็นผู้รับข้อมูลในเวลาขณะนั้นแบบฟูลล์ดูเพล็กซ์ (Full Duplex) เป็นการติดต่อสองทาง เป็นติดต่อกันได้สองทาง กล่าวคือเป็นผู้รับข้อมูลและผู้ส่งข้อมูล ในเวลาเดียวกันได้ ตัวอย่างการใช้งานเช่น การติดต่อระหว่างเทอร์มินัลกับคอมพิวเตอร์แม่ บางชนิดที่ไม่ต้องใช้เวลารอสามารถโต้ตอบได้ทันที หรือการพูดคุยทางโทรศัพท์ เป็นต้น
แหล่งที่มา http://www.angelfire.com/bug/pantha/4.htm9.ข้อใดคือtopologyแบบringก.เชื่อมต่อกันโดยผ่ายสายสัญญาณแกนหลักข.เชื่อมต่อกันเป็นวงกลมค.เชื่อมต่อเข้าด้วยกันในเครือข่ายง.เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันตอบข.เป็นรูปแบบที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย ทั้งเครื่องที่เป็นผู้ให้บริการ( Server) และ เครื่องที่เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจุดปลายหรือเทอร์มิเนเตอร์เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพีตเตอร์ (Repeater) ประจำแต่ละเครื่อง 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดต่อสื่อสารเข้าในส่วนหัวของแพ็กเกจที่ส่ง และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนหัวของ Packet ที่ส่งมาถึง ว่าเป็นข้อมูลของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยัง Repeater ของเครื่องถัดไป
แหล่งที่มา http://www.yupparaj.ac.th/RoomNet2545/activity7/topology.htm
10.ระบบเครือข่ายใดที่มีการเชื่อมต่อในระดับจังหวัด
ก.lan
ข.man
ค.wan
ง.ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. เพราะ ระบบ LAN มีขอบเขตการทำงานแคบ มักอยู่ในอาคาร ออฟฟิศ สำนักงาน หรือหลายอาคารที่อยู่ติดกัน ไม่เกิน 2,000 ฟุตระบบเครือข่ายmanในเขตเมือง (Metropolitan Area Network) มีลักษณะคล้ายกับระบบ LAN แต่มีอาณาเขตที่ไกลกว่าในระดับเขตเมืองเดียวกัน หรือหลายเมืองที่อยู่ติดกันก็ได้ ซึ่งอาจเป็นการให้บริการของเอกชนหรือรัฐระบบเครือข่ายวงกว้าง (WAN)เป็นระบบที่มีขอบเขตการใช้งานกว้างกว่า ไกลกว่าระบบแลน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ไร้ขอบเขตแล้ว เช่นระบบการสื่อสารข้อมูลผ่านดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์ต่างๆ แต่การที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีระยะห่างกันมากๆให้เป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายสาธารณะ (Public Networks) ที่ให้บริการการสื่อสาร โดยเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม ผ่าน เครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ (Public Switching Telephone Network ; PSTN) ซึ่งมีทั้งลักษณะต่อโมเด็มแบบที่ต้องมีการติดต่อก่อน (Dial-up) หรือต่อตายตัวแบบสายเช่า (Lease Line
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
เสียงเพรียกแห่งธรรม
บทความยอดนิยม
บทความทั้งหมด
- สิงหาคม 2018 (1)
- สิงหาคม 2016 (1)
- กรกฎาคม 2016 (1)
- มิถุนายน 2016 (5)
- เมษายน 2016 (1)
- มีนาคม 2016 (3)
- มกราคม 2016 (1)
- พฤศจิกายน 2015 (3)
- ตุลาคม 2015 (2)
- สิงหาคม 2015 (1)
- กรกฎาคม 2015 (1)
- มิถุนายน 2015 (3)
- พฤษภาคม 2015 (1)
- เมษายน 2015 (1)
- มีนาคม 2015 (1)
- ธันวาคม 2014 (5)
- พฤศจิกายน 2014 (4)
- พฤศจิกายน 2009 (4)
- มิถุนายน 2009 (5)
- กุมภาพันธ์ 2009 (2)
- มกราคม 2009 (4)
- พฤศจิกายน 2008 (7)
- ตุลาคม 2008 (2)
- กรกฎาคม 2008 (1)
สถิติผู้เข้าชม
ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต