Google+ ภิกษุห้ามฉันเนื้อมนุษย์ ~ Education For Life

ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

On 05:50 by EForL   No comments
ภิกษุห้ามฉันเนื้อ
เหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามไม่ให้ภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ โดยเด็ดขาดเกิดจากนางสุปปิยา เรื่องมีอยู่ว่า
วันหนึ่งนางสุปปิยาทราบข่าวว่ามีพระภิกษุอาพาธหนัก ต้องการน้ำต้มเนื้อเพื่อมาประกอบเป็นเภสัช นางจึงสั่งให้คนรับใช้ไปหาซื้อเนื้อมา ปรากฎว่าในวันนั้นเป็นวันพระไม่มีการฆ่าสัตว์ คนใช้หาจนทั่วแล้วไม่มีจึงกลับมารายงานให้นางทราบ
            ด้วยความที่นางเป็นคนศรัทธาจริตและอยากให้พระหายจากความอาพาธ นางจึงตัดสินใจเฉือนเนื้อขาของเธอเองแล้วมอบให้คนใช้นำไปต้นถวายพระ ส่วนตัวนางใช้ผ้าพันแผลแล้วเข้าไปนอนทนความเจ็บอยู่ในห้อง
            วันต่อมา พระศาสดามาฉันภัตตาหารที่บ้านของนาง พอกระทำภัตตากิจเสร็จก็ถามสามีของนางว่า สัปปิยาหายไปไหน สามีจึงให้คนไปเรียกนางออกมา ครั้นนางทราบข่าวการมาของพระบรมศาสดาก็เกิดปีติโสมนัส บาดแผลที่ขาก็หายเป็นอัศจรรย์นางรีบลุกขึ้นแต่งตัวมาเข้าเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทราบ
            เมื่อพระบรมศาสดากลับไปถึงที่พักได้เรียกประชุมสงฆ์ แล้วสอบสวนจากนั้นก็ทรงบัญญัติพระวินัยห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อสิงโต เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อเสือโครง เนื้อดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้องู เนื้อหมี
            นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล บ้านเมืองเราในยุคปัจจุบันย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนนั้นผู้เขียนอายุได้ ๑๔ ปี มีโอกาสไปจ่ายตลาดกับแม่ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันพระใหญ่ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) หาร้านที่ขายเนื้อสดไม่มีเลย อย่างดีก็มีพวกไก่แช่เย็นหรือปลาทูแช่แข็ง
            แต่ในปัจจุบันวัฒนธรรมการไม่ฆ่าสัตว์วันพระแทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว ซึ่งจะว่ากันจริงๆแล้วจะฆ่าสัตว์วันไหนก็ได้ชื่อว่าทำลายชีวิตของสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าการละทิ้งวัฒนธรรมการไม่ฆ่าในวันพระมันฟ้องว่าพฤติกรรมของคนในสังคมยุคปัจจุบันยิ่งนับยิ่งห่างจากวัด
            ถ้าจะโทษคนในสังคมอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะข่าวเกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติของพระที่ออกผ่านสื่อต่างๆ ในปัจจุบันก็มีแต่ข่าวด้านลบ ทัศนะคติของคนเลยมองพระในทางลบ
            การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ถ้าแก้ที่สื่อไม่ได้(ซึ่งไม่ได้อยู่แล้ว) ก็แก้ที่ตัวเรา เวลาเจอข่าวอะไรที่นำเสนอด้านลบเพียงด้านเดียว ให้เราพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี มีลบก็มีบวก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครดีฝ่ายเดียว หรือชั่วระยำฝ่ายเดียว เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านฉันใดก็ฉันนั้น
-->

0 ความคิดเห็น: