วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
On 03:10 by EForL No comments
ถ้าทุกคนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถพัฒนาได้
ความสามารถต่าง ๆที่มนุษย์คนหนึ่งเคยทำได้เราก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
วันนี้จะนำเสนอเรื่องราวของบุคคลผู้ที่ถือได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนทั้งโลกในปัจจุบัน นั้นก็คือ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา
ถึงแม้ชายคนนี้จะมีข้อเสียอยู่บ้างไม่ใช่น้อย แต่ข้อดีที่ทำให้เขาได้ก้าวขึ้นมานั้งในตำแหน่งผู้นำของประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจของโลกมาหลายร้อยปีอย่างสหรัฐอเมริกาได้นั้น คงไม่ใช่เป็นเพราะก่อรัฐประหารอย่างในบางประเทศแน่นอน ดังนั้นในวันนี้ผมจึงนำเอาข้อดีบางอย่างมาให้หลายคนที่กำลังจะก้าวมาเป็นผู้นำ(แม้กระทั้งผู้นำครอบครัว) ได้ถือเอาไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
วันนี้จะนำเสนอเรื่องราวของบุคคลผู้ที่ถือได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนทั้งโลกในปัจจุบัน นั้นก็คือ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา
ถึงแม้ชายคนนี้จะมีข้อเสียอยู่บ้างไม่ใช่น้อย แต่ข้อดีที่ทำให้เขาได้ก้าวขึ้นมานั้งในตำแหน่งผู้นำของประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจของโลกมาหลายร้อยปีอย่างสหรัฐอเมริกาได้นั้น คงไม่ใช่เป็นเพราะก่อรัฐประหารอย่างในบางประเทศแน่นอน ดังนั้นในวันนี้ผมจึงนำเอาข้อดีบางอย่างมาให้หลายคนที่กำลังจะก้าวมาเป็นผู้นำ(แม้กระทั้งผู้นำครอบครัว) ได้ถือเอาไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
โอบามา ผู้คงความไม่เคยหวามกลัวในการโต้วาที
และไม่เคยแสดงอาการหลุด หรือโกรธ เมื่อเพลี่ยงพล่ำแก่คู่ต่อสู้ ที่ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้คือ
เขาสามารถวางเฉยต่อกระแสยั่วยุและสิ่งรบกวนทั้งหลายได้โดยยืนหยัด
มั่นคงในเนื้อหาที่ต้องการสื่อออกไปยังผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งตลอดระยะเวลาหาเสียงแบบมาราธอนนานเกือบสองปีแม้จะอ่อนประสบการณ์ทางด้านการเมือง แต่โอบามาย้ำในจุดยืนเดิมอย่างไม่หวั่นไหว เรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา “เปลี่ยนแปลง”
โอบามาสามารถรักษามาดสุขุมไว้ได้
ด้วยการมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายหลักอย่างแน่วแน่ ไม่วอกแวก
ไม่สนใจอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามารบกวน เขาแก้ปัญหาได้โดยไม่จำเป็นต้องตำหนิใคร เล่น ไม้แข็ง
ได้เมื่อจำเป็น และบางครั้งอาจระเบิดอารมณ์ออกมาบ้าง
ถ้าไม่ทำให้แผนรณรงค์หาเสียงของตนเสียหาย
เขาฉลาดตรงที่รู้จักหันเหตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์และทิศทางลมในแต่ละขณะได้ และบางทีสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเขาคือ บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากอดีตประธานาธิบดีอับราฮัม
ลิงคอล์น ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการเป็นผู้นำที่คงความอ่อนน้อมถ่อมตน
อีกประการหนึ่งที่ โอบามามีก็คือการรู้จักครองสติไว้ให้มั่นในห้วงวิกฤติและภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด มีการเตรียมแผนรองรับในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และพร้อมที่จะทำตามแผนนั้นโดยครองสติให้อยู่กับตัวเอง คงบุคลิกภาพความเป็นปกติได้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาสามารถโกยคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งได้อย่างมากมาย
อีกประการหนึ่งที่ โอบามามีก็คือการรู้จักครองสติไว้ให้มั่นในห้วงวิกฤติและภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด มีการเตรียมแผนรองรับในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และพร้อมที่จะทำตามแผนนั้นโดยครองสติให้อยู่กับตัวเอง คงบุคลิกภาพความเป็นปกติได้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาสามารถโกยคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งได้อย่างมากมาย
วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
On 19:04 by EForL No comments
เราเริ่มรู้จักกันได้ประมาณเดือนกว่าๆแล้ว
ในช่วงแรกที่เราได้พบกัน ฉันชอบแอบมองตอนเธอมากินน้ำ ฉันเห็นดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
จนทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอพึ่งมาจากขโมยของคนอื่นมาหรือเปล่า
มาช่วงหลังๆนี้นอกจากเธอจะลงมากินน้ำแล้ว
เธอยังส่งเสียงอันไพเราะให้ฉันได้ฟังอยู่บ่อยๆ
จนฉันคิดว่าต้องตอบแทนอะไรแก่เธอสักอย่าง ฉันคิดได้ว่าเธอต้องหิวแน่เลย
วันต่อมาจึงนำอาหารใส่ถุงเล็กๆติดมาที่ทำงานด้วยเผื่อว่าเวลาเธอลงมากินน้ำเสร็จแล้ว
ได้กินอะไรที่เป็นของพิเศษๆ ก่อนนอนสักหน่อยจะได้หลับเป็นสุข
เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าทั้งวันเธอได้กินอะไรมาบ้างหรือเปล่า
ฉันไม่รู้ว่าความสุขในชีวิตเธอเป็นอย่างไร
สำหรับฉันแล้วการได้ยินเสียงเธอทุกวัน ได้แบ่งอาหารให้เธอกิน
ได้เห็นเธอกินอาหารที่ฉันแบ่งให้อย่างเอร็ดอร่อย แค่นี้ก็ถือว่าเป็นความสุขส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันแล้ว
ยิ่งนานวันฉันกับเธอยิ่งสนิทกันมาขึ้น
เธอชอบบินมาเกาะบริเวณหน้าต่างในห้องทำงานของฉัน
แล้วพยายามทำให้เกิดเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งฉันอยากบอกเธอว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้
ฉันรู้เวลาที่เธอมาอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เราสนิทกันได้เร็วนั้นอาจเป็นเพราะว่าเรามีอะไรเหมือนกันอยู่
๓ อย่าง คือ
๑. เราต้องกินเหมือนกัน
เธอกินอาหารและมีวิธีแสวงหาอาหารในแบบของเธอ ฉันมีการกินและแสวงหาอาหารในแบบของฉัน
๒. เราต้องเสพกามเหมือนกัน
๓. เรามีความกลัวตายเหมือนกัน
สุดท้ายนี้
ฉันอยากบอกเธอว่าที่เธอต้องมาเกิดเป็นแบบนี้เพราะชาติในอดีตเธอคงทำสิ่งที่ผิดพลาดไว้มาก
หรือเธออาจประมาทในการสร้างความดี ซึ่งเธอไม่ต้องนึกเสียใจหรือน้อยอกน้อยใจเพราะทุกคนถ้ายังไม่หมดกิเลสก็มีสิทธิผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น
ฉันขอให้อัตภาพแบบนี้ของเธอเป็นชาติสุดท้าย
เมื่อละจากโลกนี้ไปก็ขอให้ได้อัตภาพใหม่ที่เหมาะแก่การทำความดี เช่น
ได้ร่างกายเป็นมนุษย์ ครั้นได้ร่างกายเป็นมนุษย์แล้วก็ขอให้เธออย่าได้ประมาท
เร่งสร้างความดี ยิ่งๆขึ้นไปจนหมดกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน
อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของสัพพะสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏนี้
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
On 05:50 by EForL No comments
ภิกษุห้ามฉันเนื้อ
เหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามไม่ให้ภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ โดยเด็ดขาดเกิดจากนางสุปปิยา
เรื่องมีอยู่ว่า
วันหนึ่งนางสุปปิยาทราบข่าวว่ามีพระภิกษุอาพาธหนัก
ต้องการน้ำต้มเนื้อเพื่อมาประกอบเป็นเภสัช นางจึงสั่งให้คนรับใช้ไปหาซื้อเนื้อมา
ปรากฎว่าในวันนั้นเป็นวันพระไม่มีการฆ่าสัตว์
คนใช้หาจนทั่วแล้วไม่มีจึงกลับมารายงานให้นางทราบ
ด้วยความที่นางเป็นคนศรัทธาจริตและอยากให้พระหายจากความอาพาธ
นางจึงตัดสินใจเฉือนเนื้อขาของเธอเองแล้วมอบให้คนใช้นำไปต้นถวายพระ ส่วนตัวนางใช้ผ้าพันแผลแล้วเข้าไปนอนทนความเจ็บอยู่ในห้อง
วันต่อมา
พระศาสดามาฉันภัตตาหารที่บ้านของนาง พอกระทำภัตตากิจเสร็จก็ถามสามีของนางว่า
สัปปิยาหายไปไหน สามีจึงให้คนไปเรียกนางออกมา ครั้นนางทราบข่าวการมาของพระบรมศาสดาก็เกิดปีติโสมนัส
บาดแผลที่ขาก็หายเป็นอัศจรรย์นางรีบลุกขึ้นแต่งตัวมาเข้าเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทราบ
เมื่อพระบรมศาสดากลับไปถึงที่พักได้เรียกประชุมสงฆ์
แล้วสอบสวนจากนั้นก็ทรงบัญญัติพระวินัยห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง ได้แก่
เนื้อมนุษย์ เนื้อสิงโต เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้อเสือโครง เนื้อดาว
เนื้อเสือเหลือง เนื้องู เนื้อหมี
นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล
บ้านเมืองเราในยุคปัจจุบันย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนนั้นผู้เขียนอายุได้ ๑๔ ปี
มีโอกาสไปจ่ายตลาดกับแม่ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันพระใหญ่ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ)
หาร้านที่ขายเนื้อสดไม่มีเลย อย่างดีก็มีพวกไก่แช่เย็นหรือปลาทูแช่แข็ง
แต่ในปัจจุบันวัฒนธรรมการไม่ฆ่าสัตว์วันพระแทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว
ซึ่งจะว่ากันจริงๆแล้วจะฆ่าสัตว์วันไหนก็ได้ชื่อว่าทำลายชีวิตของสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น
ประเด็นอยู่ที่ว่าการละทิ้งวัฒนธรรมการไม่ฆ่าในวันพระมันฟ้องว่าพฤติกรรมของคนในสังคมยุคปัจจุบันยิ่งนับยิ่งห่างจากวัด
ถ้าจะโทษคนในสังคมอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะข่าวเกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติของพระที่ออกผ่านสื่อต่างๆ
ในปัจจุบันก็มีแต่ข่าวด้านลบ ทัศนะคติของคนเลยมองพระในทางลบ
การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ถ้าแก้ที่สื่อไม่ได้(ซึ่งไม่ได้อยู่แล้ว)
ก็แก้ที่ตัวเรา เวลาเจอข่าวอะไรที่นำเสนอด้านลบเพียงด้านเดียว
ให้เราพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี มีลบก็มีบวก
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครดีฝ่ายเดียว
หรือชั่วระยำฝ่ายเดียว เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านฉันใดก็ฉันนั้น
-->
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
On 19:36 by EForL No comments
FOMO โรคติดข่าวสาร
ในยุคปัจจุบันนี้ โซเซียลมีเดียกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันไปแล้ว เพราะทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย สะดวก และกว้างขวาง
รวมทั้งเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ลึกและกว้าง
ซึ่งบางคนก็ติดต่อจนเรียกว่าเสพติดโซเซียลมีเดีย
จะกระวนกระวายใจถ้าไม่ได้เชคข้อมูล ไม่ได้อัพเดตเฟสบุคหรือทวิตเตอร์ของตนเอง
หนักกว่านั้น ก่อนนอนก็ต้องเชค ถ้าท่านใดเป็นอย่างนี้แสดงว่ากำลังเป็นโรค FOMO แล้ว
FOMO คือ ภาวะกลัวตกข่าว หรือ Fear Of Missing Out หรือชื่อย่อว่า FOMO ภาวะกลัวตกข่าวนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีโซเซียลมีเดีย
สมัยก่อนจะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง คือมีงานไหนต้องงานนั้นตกข่าวไม่ได้เลย มีงานเลี้ยงที่ไหน มีอะไรที่ไหนก็จะต้องไปให้ได้ ทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ได้ไป เพราะกลัวตกข่าว และกลัวว่าตัวเองจะถูกลืม เพราะฉะนั้นอาการนี้เป็นอาการที่มีมานานแล้ว
จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานที่น่าตกใจอยู่ชิ้นหนึ่ง เขาพบว่าในกลุ่มของคนใช้โซเซียลมีเดีย 56% มีอาการของการกลัวตกข่าวคือ ไม่อาจหยุดได้เลยที่จะไม่เช็คข่าว หรือการหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็คข้อมูลต่างๆ
ให้เราลองถามตัวเองดูว่าตอนตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่เราเช็คในตอนเช้าคืออะไร ถ้าคำตอบคือสมาร์ทโฟน ลองถามกับตัวเองอีกว่าสิ่งสุดท้ายที่เราเช็คก่อนนอนคืออะไร ถ้าคำตอบก็ยังเป็นสมาร์ทโฟนอีกแสดงว่าเราเป็นโรค FOMO ไปแล้ว
แล้วอาการกลัวตกข่าวนี้มีผลต่อจิตใจหรือสุขภาพจิตเราหรือไม่
สิ่งเหล่านี้ส่งผลร้ายหรือผลเสียโดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัว
แต่บังเอิญเป็นกันทั่ว ทั้งในกลุ่มเพื่อน ก็เลยดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ความจริงแล้วความสัมพันธภาพที่ล้มเหลวเริ่มต้นจากการที่คนเราไม่ใส่ใจกัน
บางคนที่ถึงเวลาที่เขาต้องการการเอาใจใส่
ต้องการการสนใจสักนิดนึงว่าเกินอะไรขึ้นกับชีวิตเขา
แต่สิ่งแรกที่เราทำคือหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดู
อาการนี้เกิดขึ้นมากในกลุ่มวัยรุ่น แต่ก็ลามไปทุกเพศทุกวัยไม่จำกัด เพราะจากรายงานค้นพบว่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 51% ของบุคคลทั่วไปมีการใช้โซเซียลมีเดีย ใช้สมาร์ทโฟนเชคข้อมูลข่าวสารมากขึ้นถึง 51%
เราจะมีวิธีเลิกติดโซเซียลมีเดีย
ลบอาการ FOMO ออกจากตัวได้อย่างไร
1. ให้คนที่ไว้ใจคอยเช็คโซเซียลมีเดีย เช่น เวลามีข่าวการนัดหมายอะไร
ก็ค่อยให้เพื่อนมาแจ้งเราอีกที
2. ยกเลิกอินเตอร์เน็ตบนมือถือ หรือใช้เฉพาะ wifi เท่านั้น
3. ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ตัว เพราะคนใกล้ตัวเรามีความสำคัญต่อชีวิตเรามากกว่าสมาร์ทโฟน
4. ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยปิดอุปกรณ์โซเซียลมีเดียทุกอย่าง
2. ยกเลิกอินเตอร์เน็ตบนมือถือ หรือใช้เฉพาะ wifi เท่านั้น
3. ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ตัว เพราะคนใกล้ตัวเรามีความสำคัญต่อชีวิตเรามากกว่าสมาร์ทโฟน
4. ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยปิดอุปกรณ์โซเซียลมีเดียทุกอย่าง
และสุดท้ายทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา สิ่งที่สำคัญในชีวิตยังมีอีกมากมายไม่ใช่เฉพาะข่าวสารเท่านั้นที่เราตกไปแล้วเราเห็นเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่เราไม่ควรตกเลยคือ การทำบุญ ทำคุณความดีนั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Search
สนับสนุนผู้เขียน
เสียงเพรียกแห่งธรรม
บทความยอดนิยม
บทความทั้งหมด
- สิงหาคม 2018 (1)
- สิงหาคม 2016 (1)
- กรกฎาคม 2016 (1)
- มิถุนายน 2016 (5)
- เมษายน 2016 (1)
- มีนาคม 2016 (3)
- มกราคม 2016 (1)
- พฤศจิกายน 2015 (3)
- ตุลาคม 2015 (2)
- สิงหาคม 2015 (1)
- กรกฎาคม 2015 (1)
- มิถุนายน 2015 (3)
- พฤษภาคม 2015 (1)
- เมษายน 2015 (1)
- มีนาคม 2015 (1)
- ธันวาคม 2014 (5)
- พฤศจิกายน 2014 (4)
- พฤศจิกายน 2009 (4)
- มิถุนายน 2009 (5)
- กุมภาพันธ์ 2009 (2)
- มกราคม 2009 (4)
- พฤศจิกายน 2008 (7)
- ตุลาคม 2008 (2)
- กรกฎาคม 2008 (1)
สถิติผู้เข้าชม
ชีวิตไม่ใช่ เครื่องจักรมันมีความซับซ้อนมีความสดใส ร่าเริงมองโลกในแบบต่างๆรักอิสระ รักพวกพ้อง และมีปัญหาหลากหลาย ต้องการใครสักคน มาให้คำตอบเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินชีวิต